Free Porn
xbporn
วันอังคาร, ตุลาคม 8, 2024
หน้าแรกMovie“PETER RABBIT™”

“PETER RABBIT™”

ข้อมูลงานสร้าง

ใน Peter Rabbit™ฮีโรแสนซนและรักการผจญภัย ผู้อยู่ในหัวใจของผู้อ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ก้าวมาเป็นตัวเอกในคอเมดีร่วมสมัยของตัวเอง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ความบาดหมางระหว่างปีเตอร์และมิสเตอร์โธมัส แม็คเกรเกอร์ (ดอมห์นอล กลีสัน) ได้ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าแต่ก่อนเมื่อการทะเลาะกันเพื่อครอบครองสวนผักที่เป็นที่หมายปองของแม็คเกรเกอร์ และความรักของสาวข้างบ้านหัวใจงามผู้รักสัตว์ (โรส ไบรน์) ได้บานปลายไปถึงเลค ดิสทริคและกรุงลอนดอน เจมส์ คอร์เดนให้เสียงพากย์ปีเตอร์ด้วยความขี้เล่นและเสน่ห์แสนซน โดยมีมาร์ก็อท ร็อบบี้, อลิซาเบธ เดบิคกี้และเดซี ริดลีย์ พากย์เสียงสามฝาแฝด ฟล็อปซี, ม็อปซีและคอตตอน-เทล
โคลัมเบีย พิคเจอร์สและโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ร่วมกับ 2.0 เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแอนนิมอล โลจิค เอนเตอร์เทนเมนต์/โอลิฟ บริดจ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์โดยวิลล์ กลัคเรื่อง Peter Rabbit™ นำแสดงโดยโรส ไบรน์, ดอมห์นอล กลีสัน, แซม นีลล์, เดซี ริดลีย์, อลิซาเบธ เดบิคกี้ ร่วมด้วยมาร์ก็อท ร็อบบี้และเจมส์ คอร์เดนในบทปีเตอร์ แร็บบิท กำกับโดยวิลล์ กลัค อำนวยการสร้างโดยวิลล์ กลัคและซาเราห์ นัลแบนเดียน เรื่องราวภาพยนตร์และบทภาพยนตร์โดยร็อบ ลีเบอร์และวิลล์ กลัค ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่ดั๊ก เบลแกรด, โจดี้ ฮิลเดอแบรนด์, แคทเธอรีน บิช็อป, ซูซาน โบลโซเวอร์, เอ็มมา ท็อปปิ้ง, ร็อบ ลีเบอร์, เจสัน ลัสต์และโจนาธาน ฮลูดซินสกี้ ผู้กำกับภาพคือปีเตอร์ เมนซีส์ จูเนียร์, เอเอสซี ผู้ออกแบบงานสร้างคือโรเจอร์ ฟอร์ด มือลำดับภาพได้แก่คริสเตียน กาซัลและโจนาธาน แท็ปปิน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือลิซซี การ์ดิเนอร์ อนิเมชันและวิชวล เอฟเฟ็กต์โดยแอนนิมอล โลจิค สตูดิโอส์ ประเทศออสเตรเลีย กำกับอนิเมชันโดยร็อบ โคลแมน ดนตรีโดยโดมินิค ลูอิส ควบคุมดนตรีโดยเวนเด้ โครว์ลีย์

เกี่ยวกับภาพยนตร์
“ตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อผมอ่านหนังสือเรื่อง Peter Rabbit ให้ผมฟัง ผมก็เลยรู้สึกผูกพันกับเขามาโดยตลอด และตอนที่ผมมีลูก ผมก็อ่านหนังสือเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังด้วย” วิลล์ กลัค มือเขียนบทร่วม/ผู้กำกับ Peter Rabbit ซึ่งเป็นการผจญภัยบนจอเงินครั้งแรกของกระต่ายผู้โด่งดังตัวนี้ “สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือปีเตอร์เป็นตัวซนน้อยๆ ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีเยี่ยมที่จะนำเจ้าตัวน้อย สิ่งที่เบียทริกซ์ พอตเตอร์ใส่เข้าไปให้กับปีเตอร์ ขยายนิสัยนั้นออกมาและทำให้มันเป็นเรื่องราวร่วมสมัยของเราเองน่ะครับ”
แล้วใครล่ะที่จะเหมาะกับงานพากย์เสียงปีเตอร์มากไปกว่าเจมส์ คอร์เดน ตัวซนขนานแท้ ผู้โยนสติสตังค์ทิ้งไปและใช้อารมณ์มาแทนที่เมื่อถึงเวลารับบทกระต่ายแสนซนในเสื้อคลุมสีฟ้า “มันเป็นเรื่องราววิเศษสุดที่เกิดขึ้นได้เพราะเบียทริกซ์ พอตเตอร์ครับ” เขากล่าว “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างเหลือเชื่อที่วิลล์คิดว่าเสียงของผมจะสามารถพากย์กระต่ายน้อยน่ารักตัวนี้ได้ ผมได้พบกับเด็กที่ตื่นเต้นเหลือเกิน เขาบอกว่า ‘คุณจะได้เป็นปีเตอร์ แร็บบิท’ แล้วผมก็บอกว่า ‘เปล่านะ ปีเตอร์ แร็บบิทก็คือปีเตอร์ แร็บบิท เขาก็แค่ต้องการเสียงสำหรับหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ การสู้รบระหว่างปีเตอร์และแม็คเกรเกอร์ชรา ผู้ดูแลสวนผัก ได้ถึงจุดพลิกผันเมื่อชายชราได้โบกมือลาโลกนี้ไปเสียแล้ว (ชัยชนะที่ปีเตอร์ยินดีอวดอ้างว่าเป็นฝีมือตัวเอง) แต่เมื่อเหลนของเขา โธมัส แม็คเกรเกอร์ (ดอมห์นอล กลีสัน) เข้ามารับหน้าที่นี้ต่อ ปีเตอร์ก็ตระหนักได้ว่า สงครามเพื่อแย่งชิงการครอบครองสวนผัก และหัวใจของเพื่อนบ้านสาว บี (โรส ไบรน์) เพียงแค่เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ปีเตอร์ได้ระดมขอความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขา ทั้งฟล็อปซี, ม็อปซีและคอตตอน-เทล น้องๆ ของเขา, เบนจามิน บันนี ลูกพี่ลูกน้อง, เจไมมา พุดเดิล-ดั๊ค, มิสเตอร์เจเรมี ฟิชเชอร์, มิสซิสทิกกี้-วิงเคิล และตัวละครอื่นๆ ที่นักเขียนและนักวาดภาพประกอบ เบียทริกซ์ ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาในนิทานต้นฉบับ
และด้วยความที่ปีเตอร์ แร็บบิทเป็นที่รักมากเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครือจักรภพอังกฤษ กลัคก็เลยสามารถดึงดูดความสนใจจากบรรดาทีมนักแสดงระดับแนวหน้าให้มาเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครที่โด่งดังเหล่านี้ได้ รวมถึงมาร์ก็อท ร็อบบี้, อลิซาเบธ เดบิคกี้และเดซี ริดลีย์ในบทแฝดสาม, ศิลปินรางวัลแกรมมี เซีย ในบทมิสซิสทิกกี้-วิงเคิล และเดวิด เวนแฮมในบทจอห์นี ทาวน์-เมาส์
นอกเหนือจากนั้น นักแสดงไลฟ์แอ็กชันของเรื่องยังควบหน้าที่นักพากย์ด้วย โดยดอมห์นอล กลีสัน รับบทกบ มิสเตอร์เจเรมี ฟิชเชอร์, โรส ไบรน์ พากย์เสียง เจไมมา พุดเดิล-ดั๊คและแซม นีลล์ ที่รับบทมิสเตอร์แม็คเกรเกอร์ชรา ก็มาพากย์เสียงตัวแบดเจอร์ ทอมมี บร็อคด้วยเช่นกัน
สำหรับอนิเมชัน กลัคและเพื่อนผู้อำนวยการสร้าง ซาเรห์ นัลแบนเดียน ได้ร่วมมือกับแอนนิมอล โลจิค สตูดิโอวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันของนัลแบนเดียน ผู้ซึ่งผลงานก่อนหน้านี้รวมถึง The LEGO® Movie, Happy Feet และภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในการสร้างภาพยนตร์ที่จะผสมผสานทั้งอนิเมชันและไลฟ์แอ็กชันเข้าด้วยกัน “เราต้องการใช้ตัวละครของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อยกย่องสิ่งที่เธอได้สร้างขึ้นมาครับ” กลัคกล่าวต่อ “เราทุกคนต่างก็คุ้นเคยดีกับภาพวาดสีน้ำที่งดงามพวกนั้น ถ้ามันมีชีวิตจริงในโลกแห่งความเป็นจริงล่ะก็ เราก็หวังว่าพวกมันจะมีหน้าตาอย่างนี้ครับ”
แรงบันดาลใจคือภาพประกอบดั้งเดิมของพอตเตอร์ “วิลล์และผมได้ไปดูภาพดั้งเดิมที่คลังเบียทริกซ์ พอตเตอร์ในกรุงลอนดอน เธอได้วาดพวกมันเท่าขนาดที่พวกมันอยู่ในหนังสือเลย” นัลแบนเดี้ยนอธิบาย “ความท้าทายคือการเริ่มต้นจากผลงานที่เล็กมากๆ และการรักษาแก่นแท้ของตัวละครที่เป็นที่รักเหลือเกินในหนังสือ ขณะที่เรานำปีเตอร์มาสู่ศตวรรษที่ 21 มันเป็นโอกาสทองสำหรับเราที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน”
วิธีหนึ่งในการรักษาแก่นแท้ของภาพวาดดั้งเดิมคือการอ้างอิงถึงภาพประกอบเรื่องนี้ทุกครั้งที่เป็นไปได้ “เป้าหมายของเราคือการทำให้กระต่ายและตัวละครสัตว์อื่นๆ ดูเหมือนสัตว์จริงๆ แต่ด้วยเสื้อผ้าและสีหน้าตามที่บ่งบอกไว้ในหนังสือน่ะครับ” กลัคกล่าว
ลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาแก่นแท้ของตัวละครเอาไว้ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการทำให้แน่ใจว่าปีเตอร์จะทำตัวเหมือนปีเตอร์ เป็นตัวละครที่ชอบเสี่ยงและชื่นชอบการแกล้งคน แต่ก็เป็นผู้มีจิตใจดีงามด้วย
“ปีเตอร์ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในสวนของแม็คเกรเกอร์เพราะพ่อของเขาถูกทำให้กลายเป็นไส้พายจากการเข้าไปในสวนนั้น แล้วเขาทำอะไรน่ะหรือ เขาก็เข้าไปในสวนนั้นน่ะสิครับ นั่นคือปีเตอร์ ไม่มีอะไรที่คุณสามารถบอกคนที่เป็นแบบนั้นได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว” กลัคอธิบาย “เขามีความซุกซน และก็มีความมั่นใจและความหลงตัวเองว่าเขาถูกเสมอด้วย ทั้งๆ ที่เขามักจะผิดเสมอ แต่เขาไม่เคยสงสัยเลย เขาก็เลยเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตระหนักได้ว่าเขาเดินมาไกลเกินไปแล้วน่ะครับ”
แต่แม้กระทั่งในตอนที่ปีเตอร์ต้องเผชิญหน้ากับความจริงเนื่องด้วยความหัวรั้นของเขา ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ปรากฏออกมา “เขาตระหนักได้ว่าเขาต้องดูแลลูกพี่ลูกน้องและน้องสาวสามตัวของเขา และแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับกับตัวเอง เขาก็ตระหนักว่าบางที มิสเตอร์โธมัส แม็คเกรเกอร์อาจเป็นอะไรมากกว่าที่เขาเห็น” กลัคกล่าวต่อ “ปีเตอร์เป็นวัยรุ่นที่เริ่มเห็นคุณค่าของการที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสีขาวหรือดำเสมอไปครับ”
การคุ้มครองนิสัยเหล่านี้ของปีเตอร์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับทีมผู้สร้าง ในทุกๆ ขั้นตอน พวกเขาทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ดูแลมรดกของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ ผู้ตีพิมพ์ที่เฟรเดอริค วอร์เน แอนด์ โค., ลิมิเต็ด., แผนกเพนกวิน แรนดอม เฮาส์ ซึ่งตีพิมพ์หนังสือ Original Peter Rabbit Books™ ของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ตั้งแต่ปี 1902
“เราตื่นเต้นมากๆ เกี่ยวกับการผจญภัยครั้งใหม่นี้ของปีเตอร์ แร็บบิทและโอกาสในการนำเสนอเขาสู่แฟนๆ รุ่นใหม่ผ่านทางจอเงินค่ะ” ซูซาน โบลโซเวอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์และผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคสำหรับเฟรเดอริค วอร์เน แอนด์ โค., ลิมิตเต็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเพนกวิน แรนดอม เฮาส์ “เราตื่นเต้นที่วิลล์ กลัคตั้งใจจะถ่ายทอดแก่นแท้ในหนังสือของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยซุกซนและน่ารักของปีเตอร์ แร็บบิท ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากค่ะ”
มันสำคัญอย่างมากเพราะความซุกซนของปีเตอร์ (และตัวเอง)ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถผลักดันขอบเขตไปได้มากแค่ไหนและพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างสง่างามอย่างไร “แม้ว่ามันจะมีข้อคิดจากเรื่องราวนี้ แต่ฉันก็รู้สึกว่าเด็กๆ ไม่ได้รู้สึกหรอกว่าพวกเขาถูกเทศนาสั่งสอน” เธอกล่าว “ฉันคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันเวิร์ค แล้วใครล่ะคะที่จะไม่ชอบความซุกซนนิดๆ น่ะ”
โบลโซเวอร์คิดว่าภาพยนตร์เรื่อง PETER RABBIT™ จะเข้าถึงผู้ชมปี 2018 ได้ในรูปแบบที่คล้ายๆ กับที่หนังสือเรื่องนี้เข้าถึงผู้อ่านในปี 1902 เพราะธีมการผจญภัยและความซุกซนพวกนั้นเป็นเรื่องอมตะ “ฉันคิดว่าเบียทริกซ์ พอตเตอร์สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากมายเหลือเกินด้วย The Tale of Peter Rabbit เพราะมันเป็นเรื่องราวตลกที่เป็นอมตะ ที่กระตุ้นจินตนาการของเด็กๆ น่ะค่ะ” เธอกล่าวเสริม “เบียทริกซ์เข้าใจถึงความสำคัญของการพูดคุยกับเด็กๆ ในระดับเดียวกับพวกเขา และสร้างเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกธรรมชาติที่เด็กๆ ทุกคนจะจดจำได้ ด้วยธีมที่มีเสน่ห์แบบสากลน่ะค่ะ”
อีกวิธีหนึ่งที่ทีมผู้สร้างได้ยกย่องมรดกตกทอดของพอตเตอร์คือการถ่ายทำฉากต่างๆ ในเลค ดิสทริคของอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชนบทอังกฤษ ที่ซึ่งพอตเตอร์เคยอาศัยอยู่และกลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อผลงานของเธอ หลังจากการเสียชีวิตของเธอในปี 1943 พอตเตอร์ก็ได้อุทิศทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเธอ ทั้งนาของเธอ ที่ดิน งานศิลปะ และแกะของเธอ ให้กับกองทุนแห่งชาติ ซึ่งดูแลมรดกนั้นมานานกว่า 70 ปี
จอห์น มอฟแฟท ผู้จัดการทั่วไปสำหรับมรดกของเบียทริกซ์ พอตเตอร์แห่งกองทุนแห่งชาติได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เบียทริกซ์ พอตเตอร์ได้ทิ้งมรดกชิ้นใหญ่ให้กับกองทุนแห่งชาติ และการดูแลฮิล ท็อป บ้านของเธอ งานศิลปะดั้งเดิมมากมายและที่ดินและไร่นาของเธอก็เป็นส่วนสำคัญในหน้าที่ของเราในฐานะองค์กรอนุรักษ์การกุศลในเลค ดิสทริค เธอเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งและเราก็กระตือรือร้นที่จะได้แบ่งปันผลงานและเรื่องเล่าของเธอกับครอบครัวอื่นๆ ในทุกหนแห่ง เราตื่นเต้นมากๆ กับหนังเรื่องนี้และหวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมกลุ่มใหม่ได้รู้จักกับเบียทริกซ์และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในเลค ดิสทริค ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอเขียนนิทานคลาสสิกของเธอขึ้นมาน่ะครับ”
“การไปที่เลค ดิสทริคเป็นเรื่องสำคัญอย่างเหลือเชื่อ” กลัคกล่าว “นั่นเป็นสถานที่เกิดหนังเรื่องนี้ มันเป็นที่อาศัยของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ ที่ที่เธอเขียนเรื่องราวของเธอและวาดรูปของเธอ เราพยายามจะสร้างโลกที่ดูเหมือนกับในหนังสือของเธอ เราได้รับแรงบันดาลใจที่จะนำช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ทุกสิ่งที่เธอได้เขียนหรือวาดขึ้นมา แล้วสร้างโลกของเราห้อมล้อมสิ่งนั้นครับ”

การคัดเลือกนักแสดงและตัวละคร
“ทีมนักแสดงของหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมากครับ” กลัคกล่าว “เราโชคดีมากๆ ที่ได้ตัวคนทั้งหมดนี้มและเราก็ใช้ประโยชน์จากสีหน้านักแสดงในตอนที่เราเริ่มสร้างอนิเมชัน ดังนั้น ลักษณะของปีเตอร์และสัตว์ตัวอื่นๆ ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาโดยทีมนักพากย์ครับ”

ปีเตอร์ แร็บบิท – พากย์เสียงโดยเจมส์ คอร์เดน
ปีเตอร์ แร็บบิท เป็นกระตายแสนซน ใจร้อน แต่หัวใจงาม ผู้อาศัยอยู่ในโพรงกับน้องสาวและเบนจามิน บันนี ลูกพี่ลูกน้องของเขา แม้ว่าจะถูกจับหลายครั้ง แต่ปีเตอร์ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปในสวนของเขาเพื่อขโมยผักและผลไม้สำหรับครอบครัวของเขา และการไม่กลัวอะไรของเขาก็ทำให้เขาเจอกับปัญหาบ่อยๆ
พระเอกคนดังของเรื่องพากย์เสียงโดยเจมส์ คอร์เดน ผู้นำสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างเสน่ห์และความซุกซนมาสู่บทนี้ “การได้เจมส์มาพากย์เสียงปีเตอร์เหมือนฝันเลยครับ เราแทบจะเขียนบทนี้มาเพื่อเขาเลย” กลัคกล่าว “เขามีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความอ่อนหวานและความคึกคัก และแน่นอนครับ เขาตลกมากๆๆ เลย”
คอร์เดนกล่าวว่า “เขาคิดว่าเขามีพลังและอำนาจเหนือกว่าที่ใครๆ คาดหวังจากเขา เขามีความมั่นใจและมีชีวิตชีวา เป็นกระต่ายที่ไม่พูดคำว่า ‘ทำไม’ แต่จะพูดว่า ‘ทำไมจะไม่’ แทนน่ะครับ”
“ปีเตอร์จะต้องให้ความรู้สึกที่เป็นอมตะ” ผู้ควบคุมงานสร้างโจดี้ ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “กุญแจสำคัญคือเสียงที่เราอยากจะติดตามไปในการผจญภัยไหนก็ตามที่เขาเลือกจะไปและเจมส์ คอร์เดนก็เป็นเสียงนั้นและนิสัยนั้น เขาเป็นคนตลก มีเสน่ห์และซุกซน และสำหรับเรา นั่นเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเนรมิตชีวิตให้กับปีเตอร์”
คอร์เดนกล่าวว่า ทุกอย่างมีที่มาจากตัวละครที่เบียทริกซ์ พอตเตอร์ได้สร้างขึ้นมาเช่นเคย “ผมคิดว่าปีเตอร์เอาตัวรอดจากความซุกซนของตัวเองได้เพราะนิสัยที่น่ารัก อ่อนหวานของเขา” เขากล่าว “คุณอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มเมื่อคุณเห็นเขาครับ”

บี – รับบทโดยโรส ไบรน์
บี เพื่อนบ้านของแม็คเกรเกอร์ โบกมือลาชีวิตในเมืองเพื่อย้ายมาอยู่ในกระท่อมหลังเล็กเพื่อพยายามพิสูจน์ตัวเองในฐานะจิตรกร เธอคงรู้สึกโดดเดี่ยว หากไม่มีเพื่อนตัวจิ๋วขนฟูอย่างกระต่ายพวกนี้ ปีเตอร์เป็นกระต่ายตัวโปรดของเธอและเธอก็เป็นคนโปรดของเขาเช่นกัน
โรส ไบรน์รับบทนี้ “บีเป็นคนที่หัวดื้อและมุ่งมั่น แต่เธอก็รู้สึกขัดแย้งด้วยค่ะ พรสวรรค์ของเธออยู่ที่การวาดรูปสัตว์ ไม่ใช่รูปเหมือนคน แต่เธอไม่ได้มองมันอย่างจริงจัง ดังนั้น เธอก็เลยไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนศิลปินที่แท้จริงซักเท่าไหร่” เธอกล่าว “สัตว์เป็นเพื่อนและครอบครัวของเธอ มันเหมือนกับสโนว์ไวท์ผสมเจน กู๊ดดัลน่ะค่ะ”
“ความตั้งใจของวิลล์คือการนำเสนอเรื่องราวคลาสสิกในมุมมองทันสมัยมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากค่ะ” ไบรน์กล่าวต่อ “มันเป็นเรื่องราวที่เป็นที่รักมากเหลือเกินจนคุณจะต้องทำให้มันอ่อนโยนจริงๆ แต่ฉันคิดว่ามันตลกมากๆ จริงๆ ด้วยค่ะ”
“โรสเยี่ยมเลยค่ะ” ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “เธอเป็นคนที่ทุกคนรัก ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับหนังของเราเพราะปีเตอร์รักเธอ แฝดสามรักเธอ เบนจามินรักเธอและโธมัส แม็คเกรเกอร์ก็ตกหลุมรักเธอ ผู้ชมต้องเชื่อในความแข็งแกร่งของความรักนั้น และกับโรส พวกเขาก็สามารถเชื่อได้ค่ะ”
ความท้าทายสำหรับไบรน์คือการแสดงในภาพยนตร์ประกบตัวละครหลักที่จะถูกสร้างขึ้นมาหลังการถ่ายทำ “คุณจะต้องใช้พลังจินตนาการของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในฉากพวกนั้นค่ะ” เธออธิบาย “มันเป็นเรื่องทางเทคนิคอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้น นอกเหนือจากผู้กำกับแล้ว ยังมีหัวหน้าแผนกมากมายที่จะต้องเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไวของคุณ ทั้งวิชวล เอฟเฟ็กต์ สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ แผนกกล้อง แผนกศิลป์ มีขั้นตอนซับซ้อนมากมายในการสร้างตัวละครนี้และปฏิสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตัวละครที่ร่วมฉากกับเธอ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวมากมาย ให้สำเร็จน่ะค่ะ”

โธมัส แม็คเกรเกอร์ – รับบทโดยดอมห์นอล กลีสัน
โธมัส แม็คเกรเกอร์ ไต่เต้าขึ้นมาในห้างสรรพสินค้าแฮร์ร็อดส์ที่โด่งดังในกรุงลอนดอน และทำงานอย่างขยันขันแข็ง หรือบางคน อาจจะบอกว่าถึงขั้นหมกมุ่น เพื่อเป้าหมายตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เพียงเพื่อจะพบว่าตำแหน่งนั้นตกเป็นของคนที่ไม่คู่ควรกับมัน ตอนที่เขาสืบทอดมรดกเป็นคฤหาสน์แม็คเกรเกอร์ (และสวนผักที่มาด้วยกัน) โธมัสก็มองเห็นโอกาสที่จะขายมันเพื่อเป็นทุนสำหรับร้านขายของเล่นของเขาเอง
โธมัส ชายผู้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและอยู่ในที่ทางของมัน กำลังจะเจอกับคู่ปรับคนสำคัญอย่างปีเตอร์
“อะไรคือที่ที่เลวร้ายที่สุดที่คุณจะให้คนอย่างโธมัสไปได้ ก็ในสวนสกปรกที่มีกระต่ายตัวเล็กๆ พยายามจะทำให้มันยุ่งเหยิงน่ะสิครับ” กลัคกล่าว “เขาหัวเสียมากๆ”
“เขาเคร่งเครียดนิดๆ และถูกไล่ออกทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา” เขาตั้งข้อสังเกต “แล้วเขาก็ได้พบกับคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาครับ”
จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่าสองคนต่างหาก มีบี เพื่อนบ้านผู้น่ารักและเอื้อเฟื้อ ผู้มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวโธมัส และปีเตอร์ กระต่ายที่เปลี่ยนสวน (และชีวิต) ของเขาให้พลิกตารปัตร
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนเริ่มต้นเรื่อง แรงจูงใจของโธมัสอยู่กับการแก้แค้น “เขาสาบานกับตัวเองว่าเขาจะต้องหาวิธีเอาคืนแฮร์ร็อดส์ให้ได้” เขาตั้งข้อสังเกต “ตอนที่เขาพบว่าเขาได้รับมรดกตกทอดเป็นคฤหาสน์นี้ เขาก็มองเพียงโอกาสที่จะซ่อมแซมและขายมันออกไป เพื่อหาเงินได้มากพอที่จะเริ่มต้นร้านขายของเล่นของตัวเอง” ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนที่ปีเตอร์เริ่มทำให้สวนยุ่งเหยิง เขาก็เริ่มบ่มเพาะความแค้นคล้ายๆ กัน ไม่ว่ามันจะเพี้ยนขนาดไหนก็ตาม
และความขัดแย้งระหว่างแม็คเกรเกอร์และปีเตอร์ก็เริ่มต้นขึ้นจากผัก แต่มันก็ถูกยกระดับความรุนแรงมากขึ้นเมื่อพวกเขาแข่งกันเพื่อแย่งชิงความรักจากบี “มันเป็นสมดุลที่รักษาได้ยากกับการมีผู้ร้ายที่กลายเป็นคู่แข่งความรักน่ะค่ะ” ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “ดอมห์นอลเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้เพราะเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกเสียงหัวเราะได้จากตัวละครที่จริงจังนี้…แล้วก็เปลี่ยนกลายเป็นบัสเตอร์ คีย์ตันชาวไอริช ที่แสดงตลกเจ็บตัวขนานใหญ่…ก่อนจะกลายเป็นเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยในอ้อมแขนบี เขาทำทั้งหมดนั้นได้จริงๆ ค่ะ”
“โธมัสและบีเป็นคนที่แตกต่างกันมากๆ” กลีสันกล่าว “เธอใจดี มีเมตตาและมองว่าเขาเป็นคนแปลก แต่ก็ไม่ได้ทำแย่ๆ กับเขาเพราะเรื่องนี้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาแสดงท่าทีสนใจจะรู้สึกขยาดกับความเคร่งเครียดของเขา แต่บีดูเหมือนจะมองว่ามันน่ารักและตลก และเธอก็ผ่อนคลายพอสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เขาบอกเธอว่าเขาชอบงานศิลปะของเธอ ซึ่งนั่นมีความหมายกับเธอครับ”
กลีสันกล่าวว่าแนวทางการสร้างเรื่องตลกสำหรับบทนี้ของกลัคคือสิ่งที่ทำให้เขาสนใจบทนี้ “เราทำงานภายใต้หลักการที่ว่า มันจะต้องเวิร์คสำหรับทุกคน แต่เราไม่เคยพูดว่า ‘เราควรจะทำอย่างนี้เพราะมันเป็นหนังเด็ก’ หรือ ‘เราควรจะเพิ่มมุขตรงนี้เข้าไปสำหรับผู้ใหญ่’ น่ะครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “วิลล์มองหนังเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่ว่า ความตลกก็คือความตลก และความตลกก็จะตลกสำหรับคนทุกวัยครับ”

มิสเตอร์แม็คเกรเกอร์ชรา – รับบทโดยแซม นีลล์
ในตอนเปิดเรื่อง ความขัดแย้งที่ยาวนานระหว่างปีเตอร์และมิสเตอร์แม็คเกรเกอร์ชราได้มาถึงจุดสูงสุด สิ่งที่พวกกระต่ายอยากทำคือการกินผลผลิตมากมายที่เขาปลูกอย่างขยันขันแข็งในสวนของเขา และสิ่งที่มิสเตอร์แม็คเกรเกอร์ชราอยากจะทำคือจับพวกเขาเพื่อทำเป็นพาย (อย่างที่เขาทำสำเร็จกับพ่อของปีเตอร์)
แซม นีลล์ ผู้รับบทชาวนาขี้หงุดหงิด ตั้งข้อสังเกตอย่างขำๆ ว่าเรื่องราวของพอตเตอร์ ซึ่งเขาอ่านให้ลูกๆ ของเขาฟัง ถูกเล่าด้วยอคติจากมุมมองของพวกกระต่าย “ถ้าคุณมองจากมุมมองของมิสเตอร์แม็คเกรเกอร์ชราแล้วล่ะก็ พวกกระต่ายเคยสร้างประโยชน์อะไรบ้างล่ะครับ” นีลล์กล่าว “พวกเขากินอาหาร พวกเขาผสมพันธุ์ และพวกเขาก็อยากจะมาแย่งชิงผลผลิตจากความพยายามของเขาอีกต่างหาก เขามองว่ากระต่ายพวกนี้เป็นพวกคนเถื่อนที่อยู่นอกเขตรั้ว สิ่งที่อยู่ข้างนอกเป็นความวุ่นวาย ผมมองเขาว่าเป็นคนขยันที่เจอกับอุปสรรค และเป็นวีรบุรุษในยุคของเราครับ” เขากล่าวติดตลก
แม้ว่าจะอยู่ในกองถ่ายเพียงไม่นาน แต่ทีมผู้สร้างและทีมงานก็มองนีลล์ว่าเป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบสำหรับตัวละครที่ถูกพูดถึงอย่างร้ายกาจตัวนี้ “วิลล์อยากจะยึดติดกับตัวละครดั้งเดิมที่เบียทริกซ์ พอตเตอร์ได้สร้างขึ้นมา จนถึงเรื่องของกระดุมเสื้อเชิ้ตเลยล่ะค่ะ” ลิซซี การ์ดิเนอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของเรื่อง กล่าว “ฉันให้แซมแต่งชุดสูทพองๆ ที่ทำจากแคชเมียร์และขนสัตว์ เมื่อพิจารณาเรื่องความร้อน เราต้องใช้ชุดติดแอร์ที่ซับซ้อนด้านใน แล้วเสียบปลั๊กให้เขาระหว่างการถ่ายทำค่ะ”
โรส ไบรน์ นักแสดงจริงๆ ที่นีลล์ได้แสดงประกบด้วย กล่าวว่า “แซมเป็นคนตลกและเป็นมืออาชีพมากๆ ค่ะ ฉันคิดว่าเขาสนุกมากๆ ภายใต้เมคอัพและชุดสูทพองๆ รวมถึงคอเสื้อที่พิลึกพิลั่นนั่น เขามีประกายระยิบระยับในดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขาสนุกมากค่ะ”

ฟล็อปซี, ม็อปซีและคอตตอน-เทล – พากย์เสียงโดยมาร์ก็อท ร็อบบี้, อลิซาเบธ เดบิคกี้และเดซี ริดลีย์
The Tale of Peter Rabbit โดยเบียทริกซ์ พอตเตอร์ เริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ตอนนี้โด่งดังไปแล้ว:
“กาลครั้งหนึ่ง มีกระต่ายน้อยๆ สี่ตัว และชื่อของพวกเขาคือฟล็อปซี, ม็อปซี, คอตตอน-เทลและปีเตอร์”
สามสาวพี่น้องเป็นส่วนหนึ่งของวัยเด็กของหลายๆ คนพอๆ กับพี่ชายของพวกเธอ ในตอนที่ PETER RABBIT™ เปิดเรื่อง แม่ของพวกเขาได้จากไปแล้ว และปีเตอร์ก็ตั้งใจจะเป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลน้องสาวทั้งสามตัว (อย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นความตั้งใจของเขา)
“เราสร้างตัวละครเหล่านี้ด้วยการจินตนาการว่าปีเตอร์ แร็บบิทอายุประมาณ 16 ปี (ของมนุษย์) และฟล็อปซี, ม็อปซีและคอตตอน-เทลอยูในช่วงวัยรุ่นตอนต้น” กลัคกล่าว “แม้ว่าพวกเธอจะเป็นแฝดสาม แต่พวกเธอก็มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างกันมากๆ ฟล็อปซีกังวลไปกับทุกเรื่อง เธอไม่มั่นใจและต้องสู้กับพี่ๆ น้องๆ เพื่อที่ทางของตัวเอง โดยเฉพาะกับม็อปซี ที่เป็นพี่ใหญ่ ที่เจ้ากี้เจ้าการและเป็นระเบียบเรียบร้อยมากที่สุด เธอชอบการได้เป็นผู้นำ…ในตอนที่ปีเตอร์ไม่อยู่ ส่วนคอตตอน-เทลก็ทำตามหัวใจเรียกร้องเพียงอย่างเดียว ท้ายที่สุด เธอก็ได้กลายเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ออกจะเพี้ยนนิดๆ ด้วย ทุกครั้งที่เธอพูดอะไรซักอย่าง กระต่ายทุกตัวก็จะคิดว่า ‘เดี๋ยวนะ อะไรนะ’ น่ะครับ”
“ฟล็อปซีมีอาการแบบลูกคนกลางนิดๆ” ร็อบบี้กล่าว “เธออิจฉามากๆ ที่เธอไม่ใช่พี่สาวคนโต และฉันก็คิดว่าเธอรู้สึกว่าเธอถูกม็อปซีสั่งอยู่ตลอด เธอเป็นกระต่ายขี้วิตก บางครั้ง เธอก็สงสัยในตัวเองด้วยค่ะ”
ร็อบบี้กล่าวว่า เธอเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปีเตอร์ แร็บบิทในสมัยเด็กๆ “ฉันมีถ้วยน้ำชาและจานรองถ้วยรูปปีเตอร์ แร็บบิทและตัวละครตัวอื่นๆ ค่ะ” เธอเล่า “ฉันเก็บของพวกนั้นทั้งหมดไว้ และฉันก็อยากจะมอบมันให้กับลูกๆ ของฉันในซักวันหนึ่ง ตัวละครพวกนี้เป็นอมตะเหลือเกิน มันเป็นโลกที่เรียบง่ายและมหัศจรรย์ และฉันก็รู้สึกดีที่ได้หนีเข้าไปในโลกแบบนั้นค่ะ”
เดบิคกี้เห็นพ้องด้วยว่า ม็อปซี ตัวละครของเธอ “เจ้ากี้เจ้าการหน่อยๆ” เธอกล่าว “คำที่ดีกว่านั้นก็อาจจะเป็นว่าเธอหัวดื้อค่ะ เธอเป็นกระต่ายหัวขบถสูงหนึ่งฟุตที่น่ารัก เธอฉลาด แสบเป็นกรด แต่ก็น่ารักมากๆ ด้วย”
เดบิคกี้กล่าวว่า เธอตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องราวอมตะพวกนี้ “ฉันคิดว่าเรื่องราวของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ผ่านการทดสอบของเวลามาได้เพราะตัวละครพวกนี้ทั้งงดงามและสมจริง มีเสน่ห์ ตลกและแสนซนค่ะ” เธอกล่าวต่อ “เด็กๆ มักจะสามารถมองตัวเองแทนตัวละครพวกนี้และเข้าใจบทเรียนเกี่ยวกับความรัก ครอบครัวและชุมชนจริงๆ ค่ะ”
“คอตตอน-เทลเป็นตัวยุ่งค่ะ” ริดลีย์กล่าว “เธอเพี้ยนนิดๆ และกระเซอะกระเซิง สามสาวมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ปีเตอร์ครองสวนได้สำเร็จ พวกเขารักกันและกันมากๆ แต่พวกเขาก็ถกเถียงกันอย่างน่าขบขันด้วย พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีบทบาทสำคัญค่ะ”
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอ ริดลีย์ก็โตมาพร้อมกับความชื่นชมในผลงานของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ “พี่สาวของฉันกับฉันเคยไปเรียนไวโอลินในเลค ดิสทริคด้วย แล้วเราก็ไปพิพิธภัณฑ์เบียทริกซ์ พอตเตอร์บ่อยๆ ด้วยค่ะ” เธอกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ชมยังคาดหวังได้ว่าเพื่อนๆ หลายตัวของปีเตอร์จะปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เบนจามิน บันนี ลูกพี่ลูกน้องของปีเตอร์ ทั้งน่ารัก ภักดีและอยู่เคียงข้างปีเตอร์เสมอ แม้ว่าเขาจะคอยเตือนปีเตอร์ให้หยุดซุกซนก็ตาม บทนี้พากย์เสียงโดยโคลิน มู้ดดี้ จอห์นนี ทาวน์-เมาส์ หนูเมืองที่มั่นใจเกินตัว และภาคภูมิใจกับ้านเกิดของเขาเกินงาม พากย์เสียงโดยเดวิด เวนแฮม พิกลิ้ง แบลนด์ พากย์เสียงโดยอีเวน เลสลีย์ มีนิสัยชอบตัดสินคนอื่น ละเอียดรอบคอบและเนี้ยบ แต่เขาก็จะตอบรับคำเชิญให้ร่วมสนุกด้วยหากมีโอกาส มิสซิสทิกกี้-วิงเคิล เม่นสูงวัยผู้คอยมองหาสีสันในชีวิต พากย์เสียงโดยซูเปอร์สตาร์เพลงป็อป เซีย
ทีมนักแสดงไลฟ์แอ็กชันของเรื่องก็ได้ร่วมสนุกไปด้วย โดยแซม นีลล์ พากย์เสียง ทอมมี บร็อค ตัวแบดเจอร์ ผู้ขาดความฉลาดเฉลียว, โรส ไบรน์ พากย์เสียง เจไมมา พุดเดิล-ดั๊ค เป็ดขี้กังวล จนกระทั่งปาร์ตี้ช่วยทำให้เธอผ่อนคลายลง และดอมห์นอล กลีสันก็เนรมิตชีวิตให้กับกบสุภาพบุรุษ มิสเตอร์เจเรมี ฟิชเชอร์

เกี่ยวกับงานสร้าง
กระบวนการออกแบบและอนิเมชัน
“ผมอยากให้ผู้ชมลืมไปเลยว่านี่เป็นหนังอนิเมชันครับ” วิลล์ กลัคพูดถึงแนวทางการกำกับของเขา “หวังว่าหลังจากไม่กี่นาทีแรกของการทำตัวให้เคยชินกับความจริงที่ว่าพวกสัตว์พูดได้และสวมเสื้อผ้าได้ ผู้ชมจะรู้สึกว่ามันสมจริงน่ะครับ”
อนิเมชันของเรื่องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการสร้างซาเรห์ นัลแบนเดี้ยน และบริษัทแอนนิมอล โลจิคของเขา ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันยอดนิยมเรื่อง The Lego Movie (และซีเควล The Lego Batman Movie) และ Happy Feet “สำหรับวิลล์ ตัวละครอนิเมชันทุกตัวใน PETER RABBIT™ มีตัวตนเหมือนกับตัวละครที่รับบทโดยโรสและดอมห์นอลครับ” เขากล่าว “ในตอนที่เรามองอนิเมชัน เราก็มีคำถามแบบเดียวกันสำหรับเขาอย่างที่นักแสดงไลฟ์แอ็กชันจะถาม ‘คุณอยากให้เบนจามิน บันนีรู้สึกอย่างไร คุณอยากให้เขาถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างไร’ มันเป็นเรื่องของการแสดงครับ เรามองตัวละครของเราว่าเป็นตัวละครจริงๆ ดังนั้น บทสนทนาของเรากับวิลล์ก็อยู่ที่ระดับนั้น สำหรับอนิเมเตอร์ของเรา มันเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะวิลล์ไม่ได้ให้ข้อกำหนดเรื่องไหนๆ ทั้งนั้น แต่มันก็เป็นความท้าทายอย่างมากด้วย นี่อาจจะเป็นหนังที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่พวกเราสร้างกันมาที่แอนนิมอล โลจิคเลยล่ะครับ”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงกระต่ายเท่านั้น แต่ยังมีหมู แบดเจอร์ นกกระจอก และ ฯลฯ ซึ่งแต่ละตัวมีหนัง หรือขนที่แตกต่างกัน บางตัวสวมเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน ฉีกขาดและเปียกแฉะ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซซี การ์ดิเนอร์ ไม่เพียงแต่ดูแลเสื้อผ้าสำหรับนักแสดงไลฟ์แอ็กชันเท่านั้น แต่เธอยังถูกนำตัวมาทำงานในช่วงเริ่มแรกของการออกแบบเพื่อช่วยตัดสินใจว่าสัตว์อนิเมชันพวกนี้จะสวมเสื้อผ้าอะไรด้วย “มันเป็นความท้าทายค่ะ” การ์ดิเนอร์กล่าว “เพราะเราพยายามจะรักษาวิสัยทัศน์ของเบียทริกซ์เอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้งานของเธอทันสมัยขึ้นด้วย ยิ่งเราล้วงลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ เราก็ตระหนักว่าทุกการตัดสินใจของเธอจะมีที่มาจากเหตุผลดีๆ เสมอค่ะ”
ทีมงานได้ใช้งานกองถ่ายอนิเมชันและไลฟ์แอ็กชันไปพร้อมๆ กันในระหว่างการถ่ายทำหลัก โดยที่มือลำดับภาพจะทำงานไประหว่างที่ภาพยนตร์ถ่ายทำอยู่ และนักวาดภาพสตอรีบอร์ดก็จะวาดทับฉากที่ผ่านการลำดับภาพแล้วเพื่อแสดงให้เห็นว่าสัตว์ต่างๆ จะอยู่ตำแหน่งไหน
ด้วยวิธีการนั้น กลัคก็จะรับรู้ถึงภาพยนตร์ที่เขาได้ถ่ายทำไปและความเป็นไปได้สำหรับอนิเมชันด้วย ซึ่งมันทำให้เขาค้นพบข้อดีและข้อเสียของอนิเมชัน นั่นคือคุณสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เสมอ “ในไลฟ์แอ็กชัน คุณไม่มีอะไรแบบนั้น พอคุณถ่ายทำเสร็จ ฉากนั้นก็จบแล้ว แต่ในอนิเมชัน ใครๆ ก็สามารถพูดได้ว่า ‘ไอเดียนี้น่าจะพัฒนาฉากนั้นได้นะ’ และแม้ว่าอนิเมเตอร์จะกำลังนอนกันอยู่ ผมก็ต้องรีไรท์งานใหม่” เขากล่าว พลางตั้งข้อสังเกตว่าอนิเมเตอร์พร้อมสำหรับงานเสมอ “มีคนกว่า 400 คนที่ทำงานกับปีเตอร์ แร็บบิท พวกเขาทุกคนต่างศึกษาส่วนเล็กๆ ในหนังของพวกเขาและคิดไอเดียที่วิเศษที่สุดขึ้นมา ‘อะไรจะเกิดขึ้นถ้า’ เป็นส่วนที่สนุกของหนังเรื่องนี้ครับ”

สเปเชียล เอฟเฟ็กต์และวิชวล เอฟเฟ็กต์
บทภาพยนตร์ PETER RABBIT™ มีฉากของผัก ผลไม้ที่ระเบิด ดอกไม้ไฟ การถูกไฟช็อตและการสู้รบที่ดุเดือดระหว่างมนุษย์และกระต่าย
ด้วยความที่วิสัยทัศน์ของวิลล์ กลัคกำหนดมาว่าฉากพวกนี้ควรจะถูกถ่ายทอดออกมาเหมือน Saving Private Ryan มากกว่า Bambi การร่วมมือและความเข้าใจระหว่างแผนกสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในกองถ่ายและแผนกวิชวล เอฟเฟ็กต์ในสตูดิโออนิเมชันจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ปีเตอร์ สตับส์เข้ามารับหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของเรื่อง และทอม วู้ดและวิลล์ ไรเชลท์ ก็ถูกนำตัวเข้ามารับหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์
สตับส์มักได้รับการร้องขอให้ดูแลเอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์แอ็กชันอย่าง Ghost Rider และซีรีส์อย่าง “The Pacific” และถูกดึงดูดเข้าหา PETER RABBIT™ ด้วยโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่ต่างออกไปมากๆ “มันเป็นเรื่องราวที่น่ารักและตลก เป็นความเปลี่ยนแปลงดีๆ จากสิ่งที่เรามักจะทำกันน่ะครับ” เขากล่าว “วิลล์, ทอมและผมได้ประชุมกันหลายครั้งเกี่ยวกับอะไรบ้างที่ควรจะเป็นของจริงและอะไรบ้างที่ควรจะสร้างขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ รวมถึงแต่ละแผนกจะต้องตรวจดูอะไรบ้างเพื่อทำให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะผสมผสานกันอย่างลงตัว องค์ประกอบง่ายๆ อย่างฝุ่นหรือฝนอาจทำให้งานวิชวล เอฟเฟ็กต์ยากมากๆ แผนกของผมจะต้องรู้ว่าพวกกระต่ายและสัตว์ตตัวอื่นๆ จะเดินทางผ่านเฟรมไปตรงไหนบ้าง พวกเขาจะเสียดสีกับอะไรบ้าง และพวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างไรน่ะครับ”
สตับส์ ผู้ตระหนักว่าภาพที่กลัคคิดไว้สำหรับการสู้รบที่มีผักและผลไม้ระเบิดกระจุยกระจายต้องอาศัยการลองผิดลองถูกที่เลอะเทอะหลายครั้ง กล่าวว่า “เราต้องออกแบบการระเบิดเล็กๆ ที่ใช้แทนประทัดที่โธมัสขว้างใส่พวกกระต่าย และพวกกระต่ายก็โต้ตอบด้วยจรวดผลไม้ เราก็เลยทำการทดลองด้วยการระเบิดพืชผักผลไม้จนถึงจุดที่เวิร์คช็อปของผมถูกปกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนผักและผลไม้ที่แห้งเหี่ยว เราได้สร้างผลไม้นิ่มๆ และสร้างปืนพิเศษของเราเองเพื่อยิงผลไม้ไปยังตำแหน่งที่เราอยากให้มันไปครับ”
PETER RABBIT™ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของทอม วู้ดที่ผสมผสานไลฟ์แอ็กชันกับอนิเมชันเข้าด้วยกัน “เมื่อดูบท ผมก็มองเห็นได้ว่ามีความท้าทายในทุกหน้า แต่ความสุขก็คือแนวทางการทำงานในแต่ละวันครับ” เขาอธิบาย “สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดคือโอกาสในการได้เนรมิตชีวิตให้กับปีเตอร์ แร็บบิท แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภาพยนตร์ นั่นคือในแบบที่สมจริงครับ นั่นเป็นความท้าทายที่วิเศษสุด”
วู้ดและไรเชลท์กำหนดกฎของโลกใบนี้กับกลัค พวกเขามีคำถามมากมายที่อาจจะไม่ได้ถูกพูดถึงในตัวภาพยนตร์เอง เช่นทำไมสัตว์ถึงพูดได้ มันเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับในฐานะส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์รึเปล่า ใครตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกเขา พวกเขาซักผ้ากันอย่างไร แต่คำถามเหล่านั้นก็จะเป็นตัวตัดสินว่า แผนกวิชวล เอฟเฟ็กต์จะสร้างและทำให้ตัวละครเหล่านี้เคลื่อนไหวได้อย่างไร “คุณต้องถามคำถามพวกนี้ครับ” ไรเชลท์กล่าว “แล้วท้ายที่สุด คุณก็จะลดทอนมันมาเป็นเรื่องของตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา รวมถึงความสัมพันธ์ของพวกเขากับโลกของมนุษย์ด้วย”
ทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ถูกสร้างเป็นทีมหลักและทีมเพลท ทีมหลัก ที่นำทีมโดยไรเชลท์ จะรับมือกับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงจริงและปฏิกิริยาที่พวกเขามีกับตัวละคร CG ในฉาก ส่วนทีมเพลท ที่จัดการโดยวู้ดและนำทีมโดยหัวหน้าฝ่ายเรื่องราว เคลลี ไบเจนท์ จะรับมือกับช็อตและฉากต่างๆ ที่มีแต่ตัวละคร CG เท่านั้น จะมีซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายอนิเมชันสองคนจากแอนนิมอล โลจิคจากทีมพวกนี้มาอยู่ในกองถ่ายเสมอเพื่อจับตามองและถ่ายทอดข้อมูลที่จำเป็นให้ทีมงานไลฟ์แอ็กชันได้รับรู้
กลัคไม่อยากให้มันให้ความรู้สึกเหมือนมีโลกจำลองสำหรับพวกสัตว์และโลกที่มีขนาดใหญ่กว่าสำหรับตัวละครมนุษย์ แต่อยากให้มันเป็นโลกที่ต่อเนื่องโดยปราศจากรอยต่อ “ทางเลือกที่มักทำกันคือการถ่ายทำฟุตเตจระดับกระต่ายทั้งหมดเป็นโลกจำลอง ที่มีภาพตื้นมากๆ เพื่อให้ความรู้สึกว่า ทุกอย่างมีขนาดใหญ่สำหรับพวกเขา แต่วิลล์ต้องการความรู้สึกที่ต่างออกไปมากๆ” วู้ดกล่าว “เราถ่ายทำมันเหมือนกับว่าพวกกระต่ายเป็นคนที่ตัวเล็กกว่า บทสนทนาทั้งหมดเป็นไปในแนวทางเดียวกับบทสนทนาระหว่างมนุษย์ครับ”
ในการสร้างอนิเมชันตัวละคร อนิเมเตอร์ได้มองภาพประกอบดั้งเดิมของเบียทริกซ์ พอตเตอร์เพื่อหาแรงบันดาลใจอีกครั้ง แม้ว่าตัวละครจะเดินสองขาและสวมแจ็คเก็ตสีฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา พอตเตอร์ก็ได้วาดกระต่ายที่สมจริงขึ้นมาตัวหนึ่ง “ปีเตอร์ลุกขึ้นยืน เขาสวมแจ็คเก็ต เขามีเสียงของเจมส์ คอร์เดน แต่เขาก็เป็นกระต่ายจริงๆ ด้วย เราก็เลยต้องใส่การกระดิกหูและจมูกแบบกระต่ายเข้าไปในการแสดงแอนโธรโพมอร์ฟิคที่ซับซ้อนด้วย” วู้ดกล่าว “เราต้องทำให้แน่ใจว่า เราจะสร้างภาพที่สนับสนุนสิ่งที่เจมส์ถ่ายทอดออกมาในเสียงของเขา เช่นการเลิกคิ้วนิดๆ ขึ้นมาเพื่อแสดงท่าทีประชดประชัน เราจะต้องดูเรื่องสมดุลให้ดีครับ”
สำหรับช็อตของทีมหลัก ในตอนที่นักแสดงแสดงฉากที่จะมีตัวละครอนิเมชันด้วย สิ่งสำคัญคือการให้นักแสดงถืออะไรบางอย่างในเฟรมด้วย (แทนที่จะออกท่าทาง) ด้วยเหตุผลสองประการ ประกาแรก มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะดึงการแสดงจากนักแสดง และประการที่สอง ทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ก็จะสามารถใช้ภาพนั้นเป็นตัวอ้างอิงลักษณะที่แสงจะตกกระทบสัตว์ CG ได้ “เรามีตุ๊กตาปีเตอร์คุณภาพสูงมากๆ ที่จะถูกตั้งอยู่หน้ากล้อง แล้วมันก็จะถูกจับหมุน เพื่อที่เราจะมองเห็นเขาได้จากทุกมุม นอกจากนั้น เราก็มีลูกบอลวิชวล เอฟเฟ็กต์สีเทาและเงินแบบดั้งเดิม ที่จะบ่งบอกถึงแสงที่สะท้อนไปและทำให้เราตรวจเรื่องของแสงและสีได้น่ะครับ” วู้ดกล่าว นอกจากนั้น ทีมเอฟเฟ็กต์ยังได้สร้างลูกบอลวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่มีพื้นผิวแบบผ้าและขนที่แตกต่างกันไป สำหรับใช้เป็นตัวแทนตัวละครต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าแสงและลมจะส่งผลกระทบต่อแต่ละตัวอย่างไร
ฉากดรามาที่โพรงกระต่ายระเบิดออกและต้นไม้ล้มลงไปในห้องกระจกของบีเป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีรายละเอียดมากที่สุดระหว่างสเปเชียล เอฟเฟ็กต์และวิชวล เอฟเฟ็กต์ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากระเบิดจริงๆ และการผสมผสานระหว่างการทำกระท่อมพังแบบจริงๆ และแบบดิจิตอล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายออกมา จะต้องมีการสร้างและติดตั้งต้นไม้ในตำแหน่งดังกล่าวโดยทีมสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ด้วยตะขอเกี่ยว ที่จะทำให้มันสามารถล้มและถูกตั้งขึ้นมาใหม่สำหรับหลายๆ เทคได้ หลังจากนั้น ทีมงานวิชวล เอฟเฟ็กต์ก็จะต่อขยายต้นไม้ดังกล่าวระหว่างขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน
แม้ว่าจะมีการออกแบบการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนแบบนั้น แต่ฉากดรามาแอ็กชันพวกนี้ก็ไม่ใช่ฉากที่ซับซ้อนที่สุดสำหรับทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธใกล้ชิดระหว่างนักแสดงมนุษย์และตัวละคร CG “คุณต้องทำงานที่ละเอียดละออมากมายเพื่อทำให้มันรู้สึกเหมือนว่าตัวละครพวกนี้สัมผัสกันจริงๆ” ไรเชลท์กล่าว “กฎฟิสิกส์ของการเคลื่อนไหวของพวกเขา ลักษณะที่ขนของปีเตอร์จะต้องมีปฏิกิริยาในตอนที่นิ้วของแม็คเกรเกอร์กดลงไปและปัดมันออกไป ลักษณะที่พวกเขาทอดเงาหรือสะท้อนภาพของกันและกัน ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยงานประณีตเฟรมต่อเฟรมเพื่อทำให้มันรวมกันได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ครับ”

การถ่ายทำไลฟ์แอ็กชัน
การถ่ายทำที่โลเกชันและสตูดิโอของเรื่องดำเนินไปในกรุงลอนดอน ในเลค ดิสทริค และในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
การถ่ายทำส่วนออสเตรเลียถูกกำหนดเอาไว้ในช่วงต้นปี ระหว่างฤดูร้อนของออสเตรเลีย ซิดนีย์มีโลเกชันที่สวยงามเป็นพิเศษ อย่างสวนสหัสวรรษ หนึ่งในผืนป่าปลูกที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย ที่มีการจัดสวนโดยคนทำสวนชาวอังกฤษ และมีการปลูกต้นไม้อังกฤษ ที่ทีมงานใช้สร้างคฤหาสน์แม็คเกรเกอร์และกระท่อมของบี
“เราได้สร้างโลกที่เราหวังว่าจะดูเหมือนอย่างในหนังสือของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ขึ้นมา” กลัคกล่าว “เรามองดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง แล้วมาย้อนดูว่ามันจะดูเป็นอย่างไรในบริบทโลกแห่งความเป็นจริง แล้วสร้างมันขึ้นมาครับ”
โรเจอร์ ฟอร์ด ผู้ช่วยสร้างโลกวิชวลของแฟรนไชส์ Babe, Narnia และ Peter Pan โดยพี.เจ. โฮแกน เข้ามารับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างของเรื่อง งานสำคัญงานแรกของเขาคือการสร้างคฤหาสน์และกระท่อม
“พวกเราหลายคนเดินทางไปเก็บข้อมูลที่เลค ดิสทริคครับ” ฟอร์ดกล่าว “คฤหาสน์ที่เราสร้างก็ใช้เทคนิคแบบเดียวกับสิ่งปลูกสร้างในเขตนั้น และกระท่อมของบีก็เลียนแบบกระท่อมในสวนต้นยิวของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารปูนปั้นสีขาว ที่มีหลังคาหินชนวนครับ”
ในกองถ่าย สิ่งปลูกสร้างทั้งสองหลังถูกสร้างขึ้นจากเศษไม้และไม้อัด และคลุมด้วยผ้าใบ โดยที่งานหินและงานปูกระเบื้องจะทำจากปูนปลาสเตอร์ อย่างไรก็ดี สำหรับกระท่อมของบี กลัคและฟอร์ดตัดสินใจที่จะสร้างอาคารที่มีภายในสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะทำกันในภาพยนตร์ แม้ว่าการสร้างโครงภายนอกและถ่ายทำฉากภายในบนซาวน์สเตจมักจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด แต่ข้อจำกัดที่พิเศษสุดของกระท่อมของบีทำให้เรื่องนั้นพลิกตารปัตร
“แอ็กชันมากมายเกิดขึ้นในห้องกระจกที่มีหลังคากระจกของบีครับ” ฟอร์ดตั้งข้อสังเกต พลางอธิบายว่า ทุกฉากที่ถ่ายทำในห้องกระจกจะต้องมองทะลุกระจกออกไปเห็นคฤหาสน์แม็คเกรเกอร์และสวนผัก “สำหรับผม ดูเหมือนว่าการพยายามจะถ่ายทำฉากภายในบนซาวน์สเตจและสร้างกระจกพวกนั้นขึ้นมาอย่างสมจริงจะเป็นปัญหา มันจะง่ายกว่าเยอะถ้าเราสร้างฉากภายในขึ้นมาภายในโครงภายนอก เพือที่กล้องจะสามารถถ่ายออกไปเป็นคฤหาสน์จากห้องกระจกของบีได้น่ะครับ”
ด้วยฉากภายในที่ถูกสร้างขึ้นจริง กระท่อมหลังนี้ก็จะต้องทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศทั้งข้างในและข้างนอก ระหว่างถ่ายทำ พวกเขาอาจเจออุณหภูมิกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ภายใต้ดวงอาทิตย์แผดเผาในนาทีหนึ่ง ก่อนจะเจอพายุฝนในนาทีถัดไป
สเกลของตัวละครสัตว์จะส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบบางอย่างของฉากที่ตามปกติแล้วไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำอะไร “ปกติแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องไปตกแต่งข้างใต้เพลารถบรรทุก แต่ใน Peter Rabbit องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดด้านล่างจะต้องเพอร์เฟ็กต์เพราะตัวละครพวกนี้ และเพราะกล้องจะต้องลงไปอยู่ด้านล่างด้วย เราต้องสำรวจทุกอย่าง ทุกรายละเอียดครับ”
ฟอร์ดหานักวาดภาพที่จะสามารถเลียนแบบสไตล์ของพอตเตอร์ และวาดภาพกระต่ายของบีแบบขนาดใหญ่ขึ้น “ภาพวาดของพอตเตอร์เล็กมากๆ มีพิพิธภัณฑ์ในเลค ดิสทริคที่จัดแสดงภาพวาดดั้งเดิมบางภาพ และมันก็เล็กมากๆ” เขากล่าว “เราทำให้มันใหญ่ขึ้นเพื่อที่คุณจะได้เห็นมันบนหน้าจอ แต่พวกมันก็มีสไตล์ที่คล้ายกับภาพวาดดั้งเดิมของเบียทริกซ์ พอตเตอร์มากๆ ครับ”
แน่นอนว่าอีกหนึ่งโลเกชันสำคัญคือสวนของแม็คเกรเกอร์ “สวนนั้นเป็นสวรรค์ของพวกกระต่ายครับ” กลัคกล่าว “มันมีทุกสิ่งที่กระต่ายต้องการ พอพวกเขาได้ลิ้มรสชาติของพวกนั้น และมันถูกพรากไปจากพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
“เราต้องนำเสนอภาพสวนแห่งนี้จากมุมมองของปีเตอร์ นั่นคืออุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสิ่งน่าพึงพอใจ” นัลแบนเดี้ยนกล่าว “ปีเตอร์อดไม่ได้ที่จะเข้าไปอีกครั้งและเจอปัญหาอีกครั้งครับ”
สวนแห่งนี้เกิดจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องระหว่างแผนกศิลป์ของโรเจอร์ ฟอร์ดและแจ็ค เอลเลียต หัวหน้าคนสวนของเรื่อง ผู้รับหน้าที่ปลูกผักและผลไม้ที่แตกต่างกัน 22 ชนิด
ก่อนที่จะมีการหว่านเมล็ดลงไป ทีมผู้สร้างได้ทำให้แน่ใจว่าสวนนี้จะมีทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการ “วิลล์ให้ความสำคัญกับขนาดของสวน ว่ามันใหญ่พอมั้ย” ฟอร์ดกล่าว “เราได้กำหนดพื้นที่ขนาดเดียวกันบนพื้นของสตูดิโอ โดยวิลล์อยากจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ สูงแค่ไหน ทั้งสำหรับการวางตำแหน่งช็อตต่างๆ รวมถึงผลกระทบด้านสเกลด้วย เราก็เลยวางโครงสร้างต่างๆ เพื่อเลียนแบบความสูงของพืชพวกนั้น จากนั้น ปีเตอร์ เมนซีส์ จูเนียร์ ผู้กำกับภาพ ก็กังวลว่า มันไม่กว้างพอสำหรับฉากไล่จับกัน เราก็เลยขยายมิติพวกนั้นออก ท้ายที่สุด มันก็มาถึงสเกลที่เราต่างก็คิดกันว่า ‘ใช่แล้ว เพอร์เฟ็กต์เลย’ น่ะครับ”
ต้นไม้ทุกต้นในสวนแห่งนี้จะต้องเป็นพันธุ์ที่เติบโตในเลค ดิสทริค นอกเหนือจากนั้น พวกเขาก็มีอิสระที่จะเลือก บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีมุขที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างที่อ้างอิงผักหรือผลไม้บางชนิดโดยเฉพาะ ส่วนชนิดอื่นๆ ก็ถูกเลือกจากสีสันของมัน
หลังจากนั้น เอลเลียตก็คิดวิธีที่จะสร้างสวนให้อยู่ในสภาพเดิม เพราะเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์ แต่การถ่ายทำใช้เวลาแปดสัปดาห์ “เราได้จัดฉากผักต่างๆ” เอลเลียตกล่าว “ทุกอย่างอยู่ในกระถางเพื่อที่เราจะสามารถเปลี่ยนมันออกได้อย่างง่ายดาย เราใช้ปุ๋ยน้ำเพื่อทำให้มันพร้อมทันเวลาและคอยเฝ้าระวังเรื่องอากาศครับ”
สำหรับพืชบางชนิด เอลเลียตได้นำมันมารวมกันให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ต้นมะเขือเทศแปดต้นถูกวางซ้อนกันเพื่อสร้างเป็นต้นเดียว ความต้องการดอกทานตะวันที่ช้าเกินการทำให้ต้องมีการค่อยๆ แทนที่ดอกไม้ปลอมด้วยดอกทานตะวันจริงๆ เมื่อพวกมันโตได้ที่
โรเจอร์ ฟอร์ดประทับใจอย่างยิ่งกับการก่อสร้างและทีมงานคนสวน “คำถามที่ทำให้ผมนอนไม่หลับคือ ‘เราจะสร้างหลังคาหินชนวน ซึ่งเป็นเรื่องยาก ได้ยังไง’ ‘เราจะปลูกต้นไม้ในสวนที่เหลือเชื่อนี้ให้ทันเวลาได้ยังไง’ น่ะครับ ทีมปูนปลาสเตอร์ ทีมก่อสร้าง แผนกทาสีและทีมคนสวนเก่งกันมากครับ แม้ว่าจะเจอกับอุณหภูมิสูง การรั่วซึม สายลมและสายฝน ทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในการสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่งนี้ครับ”
“มันเหลือเชื่อมากที่เราเปลี่ยนจากการนั่งในออฟฟิศของเราในลอสแองเจลิสและดูภาพวาดและข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับคฤหาสน์และสวนอังกฤษ และเดินทางไปโลเกชัน และได้เห็นและสัมผัสมันจริงๆ” ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “มันเป็นฉากที่งดงามที่สุด เป็นทุกอย่างตามที่เราจินตนาการไว้ และมันก็ทำให้ผมเศร้าเมื่อคิดว่ามันจะไม่ได้อยู่อย่างถาวรน่ะครับ”

การถ่ายทำในแฮร์ร็อดส์
PETER RABBIT™ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไมกี่เรื่องที่แฮร์ร็อดส์ ห้างสรรพสินค้าที่โด่งดังที่สุดของโลก ยอมให้มีการถ่ายทำภายในร้านที่ไนท์สบริดจ์ กรุงลอนดอนของพวกเขา
แฮร์ร็อดส์เป็นห้างที่มีคนใช้บริการพลุกพล่านเป็นพิเศษ ด้วยการเปิดประตูต้อนรับลูกค้าหลายพันคนทุกวัน ดังนั้น การถ่ายทำสเกล PETER RABBIT™ ภายในอาคารเก่าแก่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีพนักงานกว่า 7,500 คนและขายของเล่นที่เกี่ยวกับตัวละครจากหนังสือของเบียทริกซ์ พอตเตอร์ อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 1910 พอตเตอร์เป็นชาวไนท์สบริดจ์ และในไดอารีส่วนตัวที่เธอเขียนตอนอายุ 17 ปีก็มีการพูดถึงแฮร์ร็อดส์ด้วย
“แม็คเกรเกอร์ทำงานในสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองใหญ่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ตรงข้ามกับที่ที่ปีเตอร์ แร็บบิทอาศัยอยู่ครับ” ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “แฮร์ร็อดส์เป็นสถานที่สำคัญ ที่มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับเบียทริกซ์และโลกของเธอ มันเป็นสถานที่ที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับเรา เราก็เลยดีใจมากที่พวกเขาตื่นเต้นกับการร่วมมือกับเรา พวกเขาเอื้อเฟื้ออย่างมากในการรองรับการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เราถ่ายทำฉากภายนอกช่วงกลางวัน และฉากภายในช่วงกลางคืน นอกเหนือเวลาทำการ มันเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน แต่มันก็เป็นสถานที่ถ่ายทำที่เหลือเชื่อด้วยครับ”
การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างแน่นหนา ระหว่างช่วงเวลาสามทุ่มจนถึงเก้าโมงเช้า ประตูจะถูกปิดระหว่างการถ่ายทำ ทีมงานจากแผนกต่างๆ ตั้งแต่แผนกของเล่นไปจนถึงวิศวกรของห้างและพนักงานร้านอาหาร ผู้อุทิศพื้นที่ในร้านอาหารของพวกเขาให้ทีมงานกว่า 100 ชีวิตได้รับประทานอาหาร ก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้การถ่ายทำเป็นไปได้

งานสตันท์
ในขณะที่การเคลื่อนไหวของพวกกระต่ายจะถูกควบคุมอย่างละเอียดลออทางดิจิตอลโดยทีมอนิเมชันที่แอนนิมอล โลจิค งานสตันท์ของตัวละครมนุษย์ใน PETER RABBIT™จะต้องอาศัยนักแสดงหนึ่งคนเป็นหลัก เขาก็คือดอมห์นอล กลีสัน ที่รับบทโธมัส แม็คเกรเกอร์
ลอว์เรนซ์ วู้ดเวิร์ด ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และเบน สมิธ-ปีเตอร์สัน สตันท์ดับเบิลของกลีสัน มีเวลาซ้อมสองสัปดาห์กับกลีสัน ในแต่ละวัน นักแสดงหนุ่มจะต้องซ้อมการต่อสู้มือเปล่ากับปีเตอร์ แร็บบิท ด้วยความที่ระหว่างการถ่ายทำ ปีเตอร์จะเป็นศัตรูที่มองไม่เห็น มันก็เลยเหมือนกับการออกแบบซีเควนซ์เต้นรำ ที่กลีสันจะต้องจำให้ได้ว่าการก้าวเท้าของเขาและของคู่เต้นของเขาอยู่ตรงไหน
“ดอมห์นอลเตรียมตัวมาดีเสมอครับ” วู้ดเวิร์ดกล่าว “ไม่ว่าการเคลื่อนไหวใหม่จะเล็กน้อยแค่ไหน แต่เขาก็ทุ่มสุดตัว ซึ่งทำให้งานของเราง่ายขึ้นเยอะ”
กลีสันได้แสดงฉากสตันท์และฉากที่ต้องใช้แรงต่างๆ ทุกเมื่อที่เป็นไปได้ “เราได้คิดเครื่องมือต่างๆ มากมายมาใช้ในกองถ่ายครับ” วู้ดเวิร์ดเล่า “เรามีไม้สีฟ้าแท่งเล็กๆ ที่เราใช้ทิ่มเขา และคนในชุดสีฟ้าที่สามารถแตะตัวเขาได้จริงๆ บางครั้ง เราก็จะโยนกระต่ายสีฟ้าใส่เขา เพื่อที่เขาจะได้มีสิ่งที่จะโต้ตอบกับมันน่ะครับ”
“ผมไม่ใช่สตันท์แมน ดังนั้น การคิดจังหวะของฉากและถูกโจมตีโดยกระต่ายล่องหนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่มันก็สนุกมากครับ” กลีสันกล่าว “ทีมสตันท์ ที่นำทีมโดยลอว์เรนซ์และเบน เก่งมากๆ วิลล์ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ในนาทีสุดท้าย เราก็เลยต้องคิดอะไรแบบปัจจุบันทันด่วนหลายครั้ง แต่ผมคิดว่ามันทำให้เกิดเวอร์ชันที่ตลกกว่าของสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้แล้ว และนั่นก็คือสิ่งเดียวที่ผมสนใจทำให้สำเร็จครับ”

ประวัตินักแสดง
โรส ไบรน์ (บี/เจไมมา พุดเดิล-ดั๊ค) เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทเอลเลน พาร์สันส์ใน “Damages” ประกบเกลนน์ โคลส ซีรีส์นี้ ที่สร้างโดยแดเนียล เซลแมน, เกลนน์ เคสเลอร์และท็อดด์ เคสเลอร์ แพร่ภาพห้าซีซันทางเอฟเฟ็กต์ตามด้วยไดเร็ค ทีวี ไบรน์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคอเมดีเรื่อง Bridesmaids ประกบคริสเตน วิ้ก, มายา รูดอล์ฟและเมลิสซา แม็คคาร์ธีย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทคอเมดีและมิวสิคัลและสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์
เมื่อเร็วๆ นี้ ไบรน์เพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำคอเมดีเรื่อง Juliet, Naked ประกบอีธาน ฮอว์คและคริส โอ’ ดาวด์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2018 และจะเข้าฉายปลายปีนี้ นอกจากนี้ เธอยังจะริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Instant Family ประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์กในฤดูใบไม้ผลิปีนี้อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องคู่รักที่ตัดสินใจรับอุปการะเด็กสามคนและเจอกับเรื่องวุ่นๆ มากมาย
เมื่อปีที่แล้ว ไบรน์ได้นำแสดงในภาพยนตร์ออริจินอลทางเอชบีโอเรื่อง “The Immortal Life of Henrietta Lacks” ประกบโอปราห์ วินฟรีย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากหนังสือนอนฟิคชันเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของรีเบ็กก้า สคลูท มันได้แพร่ภาพทางเอชบีโอและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม
ในปี 2016 ไบรน์ได้หวนคืนสู่เวทีละคอีกครั้งในละครเวทีโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Speed-the-Plow” โปรดักชันของซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนี ที่โรสลิน แพ็คเกอร์ เธียเตอร์
ในปีนั้น ไบรน์ยังได้กลับมารับบท มัวรา แม็คแท็กเกิร์ทอีกครั้งใน X-Men: Apocalypse ซึ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2016 นอกเหนือจากนั้น เธอยังกลับมารับบท เคลลี แร็ดเนอร์อีกครั้งใน Neighbors 2: Sorority Rising ประกบเซธ โรแกน, แซ็ค เอฟรอนและโคลอี้ เกรซ มอเรทซ์
ต้นปีนั้น ไบรน์ได้แสดงประกบซูซาน ซาแรนดอนใน The Meddler ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของแม่ม่ายชราจากนิวยอร์ก ซิตี้ ผู้ติดตามลูกสาวขงเธอไปลอสแองเจลิสด้วยความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากสามีของเธอจากไป
ในปี 2015 เธอได้แสดงประกบนิค ครอลและบ็อบบี้ คันนาเวลในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Adult Beginners ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต นอกจากนั้น เธอยังได้แสดงประกบเมลิสซา แม็คคาร์ธีย์และจู๊ด ลอว์ในภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Spy ที่กำกับโดยพอล ฟิ้กอีกด้วย
ช่วงต้นปีเดียวกัน ไบรน์ได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครเวทีที่เปิดการแสดงแบบจำกัดรอบเรื่อง “You Can’t Take it With You” เธอได้รับบท อลิซ ซิคามอร์ ประกบเจมส์ เอิร์ล โจนส์และคริสติน นีลสัน
ปลายปี 2014 ไบรน์ได้แสดงประกบเจมี ฟ็อกซ์, คูเวนซาเน วอลลิส, คาเมรอน ดิแอซและบ็อบบี้ คันนาเวล ในปีเดียวกัน ไบรน์ยังได้แสดงประกบเจสัน เบทแมน, ทีนา เฟย์, โครีย์ สตอล, อดัม ไดรเวอร์และเจน ฟอนดาในภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง This is Where I Leave You ด้วย เธอได้แสดงประกบเซธ โรแกนและแซ็ค เอฟรอนในภาพยนตร์คอเมดีโดยนิโคลัส สโตลเลอร์เรื่อง Neighbors ที่ทำรายได้ไปกว่า 268 ล้านเหรียญทั่วโลก
นอกจากนั้น ในปี 2014 ไบรน์ยังได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Turning การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ออสเตรเลียและสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ออสเตรเลีย
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของไบรน์รวมถึง The Internship, The Place Beyond the Pines, Insidious, Get Him to the Greek, X-Men: First Class, Marie Antoinette, Troy, Adam และ 28 Weeks Later ผลงานละครเวทีรวมถึงละครเวทีโดยซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนีเรื่อง “La Dispute” และ “Three Sisters”

โปรเจ็กต์ล่าสุดของดอมห์นอล กลีสัน (โธมัส แม็คเกรเกอร์/มิสเตอร์เจเรมี ฟิชเชอร์) รวมถึงภาพยนตร์โดยไรอัน จอห์นสันเรื่อง Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi, ภาพยนตร์โดยดาร์เรน อาโรนอฟสกี้เรื่อง Mother! และบทคามีโอในภาพยนตร์โดยชารอน ฮอร์แกนเรื่อง Catastrophe ก่อนหน้านั้น เขาได้ถ่ายทำภาพยนตร์โดยเดวิด เวนเรื่อง A Futile and Stupid Gesture, บทนำ สเตนส์แลนด์ในคอเมดีเรื่อง Crash Pad ที่กำกับโดยเควิน เต็นท์ และภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง American Made ซึ่งเขารับบท มอนตี้ เชเฟอร์ ประกบทอม ครูซ ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยนิค ฮอร์นบี้ที่สร้างจากนิยายโดยคอล์ม โทบินเรื่อง Brooklyn ที่กำกับโดยจอห์น โครว์ลีย์, The Revenant ที่กำกับโดยอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู, ภาพยนตร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง Star Wars: Episode VIII – The Force Awakens, ภาพยนตร์ไซไฟโดยอเล็กซ์ การ์แลนด์เรื่อง Ex Machina และภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนที่สร้างจากอนุทินโดยหลุยส์ แซมเพอรินีเรื่อง Unbroken ที่กำกับโดยแองเจลินา โจลี
ในเดือนมกราคม ปี 2015 กลีสันได้แสดงในภาพยนตร์โดยเอ็นดา วอลช์เรื่อง The Walworth Farce ที่กำกับโดยฌอน โฟลีย์ ประกบพ่อของเขา เบรนแดน กลีสันและน้องชาย ไบรอัน กลีสัน
การแสดงบทนำก่อนหน้านี้ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเลนนี อับราฮัมสันเรื่อง Frank ประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์และแม็กกี้ จิลเลนฮัล, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง About Time ประกบราเชล แม็คอดัมส์และบิล ไนฮีย์และ Sensation ที่กำกับโดยทอม ฮอล เขาได้รับรางวัลไอริช ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อวอร์ดจากบทบ็อบ เกลดอฟใน When Harvey Met Bob, บทเลวินในภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Anna Karenina และบทจอนในภาพยนตร์โดยเลนนี อับราฮัมสันเรื่อง Frank
บทสมทบของเขาในจอแก้วและจอเงินรวมถึงภาพยนตร์โดยจอห์น ไมเคิล แม็คโดนัฟเรื่อง Calvary, ซีรีส์โดยชาร์ลีย์ บรู๊คเกอร์เรื่อง “Black Mirror” ทางแชนแนล โฟร์, ภาพยนตร์โดยมาร์ค โรมาเน็คเรื่อง Never Let Me Go, ภาพยนตร์โดยโจเอลและอีธาน โคเอนเรื่อง True Grit, บทบิล วีสลีย์ใน Harry Potter and the Deathly Hallows (I & II) ที่กำกับโดยเดวิด เยทส์และภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลออสการ์ของมาร์ติน แม็คโดนัฟเรื่อง Six Shooter นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Dredd ที่กำกับโดยปีเตอร์ ทราวิส, Shadow Dancer ที่กำกับโดยเจมส์ มาร์ช, ภาพยนตร์โดยเอียน ฟิทซ์กิ๊บบอนเรื่อง Perrier’s Bounty, “A Dog Year” สำหรับเอชบีโอ ประกบเจฟฟ์ บริดเจส, ภาพยนตร์โดยพอล เมอร์ซิเออร์เรื่อง Studs, ภาพยนตร์โดยสตีเฟน แบรดลีย์เรื่อง Boy Eats Girl และภาพยนตร์โดยจอห์น บัตเลอร์เรื่อง Your Bad Self ซึ่งเขาร่วมเขียนบทสเก็ตช์กับไมเคิล โมโลนีย์
ผลงานบนเวทีละครของกลีสันรวมถึง “Now or Later” ที่รอยัล คอร์ท, “American Buffalo” และ “Great Expectations” ที่เดอะ เกท, ละครเวทีเรื่อง “The Well of the Saints” โปรดักชันของดรูอิด, “Macbeth” ที่กำกับโดยเซลินา คาร์ทเมลและ “Chimps” ที่กำกับโดยวิลสัน มิแลมที่ลิเวอร์พูล เพลย์เฮาส์ กลีสันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดสำหรับละครบรอดเวย์จากละครเวทีโดยมาร์ติน แม็คโดนัฟเรื่อง “The Lieutenant of Inishmore” เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทลและรางวัลดรามา ลีค ไซเทชัน สาขาการแสดงยอดเยี่ยมจากบทเดียวกัน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอริช ไทม์ เธียเตอร์ อวอร์ดจากการแสดงใน “American Buffalo”
กลีสันได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Noreen (นำแสดงโดยเบรนแดนและไบรอัน กลีสัน) และ What Will Survive of Us (นำแสดงโดยไบรอัน กลีสัน) นอกจากนี้ เขายังได้สร้าง Immaturity for Charity คอเมดีสเก็ตช์ขนาดสั้นกับเพื่อนๆ และครอบครัวของเขาเพื่อช่วยเหลือองค์กรเซนต์ ฟรานซิส โฮสไปซ์ พวกมันพิลึกทีเดียวและอยู่ในยูทูป

แซม นีลล์ (แม็คเกรเกอร์ชรา) เป็นนักแสดงที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผู้ซึ่งมีผลงานครอบคลุมทั้งจอแก้วและจอเงิน
เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากผลงานของเขาในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Jurassic Park และในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง The Piano (เจน แคมเปียน)
ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นเรื่องอื่นๆ รวมถึง The Horse Whisperer (โรเบิร์ต เรดฟอร์ด), Bicentennial Man (คริส โคลัมบัส), The Zookeeper (ราล์ฟ ซีแมน) และล่าสุด Hunt for the Wilderpeople (ไทก้า ไวตีติ)
ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงบทที่โดดเด่นในซีรีส์ต่างๆ เช่นซีรีส์บีบีซีเรื่อง “Peaky Blinders,” “The Tudors” และ “Merlin” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้แสดงในภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยเรื่อง Thor: Ragnarok ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับไทก้า ไวตีติอีกครั้งหนึ่งและแอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง The Commuter ประกบเลียม นีสันและกำกับโดยฮวม คอลเล็ต-เซอร์รา ภาพยนตร์เรื่อง Sweet Country (วอร์วิค ธอร์นตัน) ที่จะเข้าฉายในปี 2018 คว้าทั้งรางวัลแพลทฟอร์ม ไพรซ์และสเปเชียล จูรี ไพรซ์ในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตและเทศกาลภาพยนตร์เวนิสตามลำดับ

เดซี ริดลีย์ (คอตตอน-เทล) เป็นนักแสดงหญิงชาวอังกฤษ ผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในบท เรย์ ในภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Star Wars: Episode VII – The Force Awakens เธอกลับมารับบท เรย์ อีกครั้งใน Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi ซึ่งจัดจำหน่ายโดยดิสนีย์ในวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2017
นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอยังได้แสดงใน Murder on the Orient Express ที่กำกับโดยเคนเนธ บรานาห์ และนำแสดงโดยจอห์นนี เด็ปป์, มิเชลล์ ไฟเฟอร์, เพเนโลเป้ ครูซและจูดี้ เดนซ์ และจัดจำหน่ายโดยฟ็อกซ์ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปี 2017
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Ophelia ที่เธอแสดงประกบนาโอมิต วัตส์ และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปีนี้ และภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยเรื่อง Chaos Walking ที่เธอแสดงประกบทอม ฮอลแลนด์ สำหรับไลออนส์เกท Chaos Walking มีกำหนดเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2019
ในปี 2016 ริดลีย์ได้พากย์เสียง ทาเคโอะ ในภาพยนตร์อนิเมชันคลาสสิกของสตูดิโอ จิบลิ เวอร์ชันครบรอบ 25 ปีเรื่อง Only Yesterday นอกจากนั้น เธอยังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างสารคดีเรื่อง The Eagle Huntress ซึ่งจัดจำหน่ายโดยโซนี พิคเจอร์ส คลาสสิกส์อีกด้วย
นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้ร้องเพลง “At the Ballet” จาก “A Chorus Line” คู่กับแอนน์ ฮาธาว์สำหรับอัลบัม “Encore: Movie Partners Sing Broadway” ของบาร์บรา สตรายแซนด์อีกด้วย
ริดลีย์ได้รับรางวัลออสการ์ ไวลด์ อวอร์ดปี 2016 องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรยูเอส-ไอร์แลนด์ อัลลิแอนซ์ได้จัดงานอีเวนต์นี้ขึ้นเพื่อยกย่องคุณูปการที่มีต่อชาวไอริชในภาพยนตร์ และนี่ก็เป็นรางวัลเกียรติยศของชาวไอริช
ริดลีย์มีโปรเจ็กต์หลายเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้มีส่วนร่วมในการเตรียมงานซีรีส์หนังสือเรื่อง Maggie Hope และจะรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ที่สร้างจากหนังสือเรื่องนี้กับบลูปรินท์ เทเลวิชัน

อลิซาเบธ เดบิคกี้ (ม็อปซี) นักแสดงภาพยนตร์และละครเวทีหญิงชาวออสเตรเลีย โด่งดังอย่างรวดเร็ว เธอได้สร้างชื่อเสียงครั้งแรกในปี 2013 เมื่อเธอได้แสดงประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, โทบี้ แม็กไกวร์และแครีย์ มุลลิแกนในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยบาซ ลูห์แมนเรื่อง The Great Gatsby เธอได้รับรางวัลสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์ออสเตรเลีย (เอเอซีทีเอ) จากบทจอร์แดน เบเกอร์ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว นอกจากนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่อีกด้วย
ล่าสุด เธอเพิ่งเสร็จจากงานถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Vita and Virginia ประกบเจ็มมา อาร์เทอร์ทันและอิซาเบลลา รอสเซลลินี ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องชีวิตรักระหว่างสาวสังคม วีตา แซ็ควิลล์-เวสต์ (อาร์เทอร์ทัน) และไอคอนแห่งโลกวรรณกรรม เวอร์จิเนีย วูลฟ์ (เดบิคกี้) ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่มีกำหนดเข้าฉาย นอกเหนือจากนั้น เดบิคกี้ยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยเจนนิเฟอร์ ฟ็อกซ์เรื่อง The Tale ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2018 อีกด้วย
หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงประกบกูกู มบาธา-รอว์, เดวิด โอเยลโลโอและแดเนียล บรูห์ลในภาพยนตร์ Cloverfield ที่อำนวยการสร้างโดยเจ.เจ. อับรามส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับจูเลียส โอนาห์ จะเล่าเรื่องทีมนักบินอวกาศผู้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และมีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 20 เมษายน ปี 2018 โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส
ปลายปีนี้ เดบิคกี้จะแสดงประกบวิโอลา เดวิส, ซินเธีย เอริโว, มิเชลล์ โรดริเกซ, โคลิน ฟาร์เรลและเลียม นีสันในภาพยนตร์โดยสตีฟ แม็คควีนเรื่อง Widows ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากมินิซีรีส์อังกฤษปี 1983 เกี่ยวกับการปล้นที่ผิดแผน เล่าเรื่องของโจรติดอาวุธสี่คน ที่ถูกสังหารในความพยายามปล้นที่ล้มเหลว ทิ้งให้แม่ม่ายของพวกเขาต้องสานต่องานให้เสร็จ พาราเมาท์จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 16 พฤศจิกายน ปี 2018
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2017 เดบิคกี้ได้รับบทผู้ร้ายอาเยชา ในภาพยนตร์มาร์เวลและวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์เรื่อง Guardians of the Galaxy Vol. 2 ประกบคริส แพรทท์, เคิร์ท รัสเซลและโซอี้ ซัลดานา หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวได้ไม่นาน ผู้กำกับเจมส์ กันน์ก็ได้ประกาศว่าเดบิคกี้จะกลับมาแสดงใน Guardians of the Galaxy Vol. 3 อีกครั้ง นอกจากนั้น เธอยังได้พากย์เสียงในภาพยนตร์โดยลุค เบซงเรื่อง Valerian and the City of a Thousand Planets ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 21 กรกฎาคม ปี 2017 อีกด้วย ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยกาย ริทชีเรื่อง The Man from U.N.C.L.E. ประกบเฮนรี คาวิลล์, อาร์มี แฮมเมอร์และอลิเซีย วิคันเดอร์, ภาพยนตร์โดยเดอะไวน์สตีน คัมปะนีเรื่อง Macbeth ประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์และมาริยง คอติยาร์ดและ Everest ประกบเจค จิลเลนฮัล, โรบิน ไรท์และเคียรา ไนท์ลีย์
ในปี 2016 เดบิคกี้ได้รับบท เจด ใน “The Night Manager” มินิซีรีส์ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันโดยจอห์น เลอ แคร์ มินิซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งนำแสดงโดยทอม ฮิดเดิลสตัน, ฮิวจ์ ลอรีและโอลิเวีย โคลแมนเปิดตัวในวันที่ 19 เมษายน ปี 2016 ในอเมริกา และไม่นานหลังจากนั้น มินิซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขาซีรีส์ที่แพร่ภาพจำกัดยอดเยี่ยม นอกจากนั้น ทางจอแก้ว เธอยังได้แสดงในดรามาออสเตรเลียชื่อดังทางฟ็อกซ์เทลเรื่อง “The Kettering Incident” อีกด้วย ซีรีส์นี้ครองเรตติ้งสูงอย่างต่อเนื่องและท้ายที่สุดแล้ว ซีซันหนึ่งก็ถูกซื้อสิทธิ์โดยอเมซอน ไพรม์ วิดีโอในอเมริกา
ด้านจอแก้ว ล่าสุด เธอได้แสดงในละครเวทีเรื่อง “The Red Barn” โปรดักชันของเดวิด แฮร์ ที่สร้างจากนิยายเรื่อง La Main โดยจอร์จ ซิเมนอน ที่จัดแสดงที่เนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน นักแสดงคนอื่นๆ ของเรื่องรวมถึงมาร์ค สตรองและโฮป เดวิส “The Red Barn” เปิดการแสดงในวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2016 และแสดงจนถึงวันที่ 17 มกราคม ปี 2017 นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในละครเวทีเรื่อง “The Maids” โปรดักชันของซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนี ประกบเคท บลังเช็ตต์และอิซาเบลล์ ฮัพเพิร์ท ละครเวทีเรื่องนี้ ที่สร้างจากคดีฆาตกรรมอื้อฉาว ซึ่งพี่น้องฆาตกรได้ฆ่าเจ้านายของพวกเธอและลูกสาวของเธอ ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลลินคอล์น เซ็นเตอร์ปี 2014 ในนิวยอร์กด้วย
ปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

มาร์ก็อท ร็อบบี้ (ฟล็อปซี) เป็นนักแสดงหญิงมากพรสวรรค์ ผู้สะกดใจผู้ชมทั่วโลกด้วยการแสดงแจ้งเกิดประกบนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในวงการภาพยนตร์หลายคน ร็อบบี้ ผู้พัฒนาผลงานของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ได้เนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราวน่าติดตามด้วยบทบาทที่แสดงถึงความทรงพลังบนหน้าจอของเธอ
ปัจจุบัน เธอรับบทตัวเอกของเรื่อง ทอนยา ฮาร์ดิ้งใน I, Tonya นอกจากนี้ เธอยังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนั้น ภายใต้ ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของเธอ และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จากการแสดงของเธออีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวอื้อฉาวของทอนยา ฮาร์ดิ้ง นักฟิกเกอร์ สเก็ตโอลิมปิค ผู้วางแผนที่จะให้คู่แข่งของเธอ แนนซี เคอร์ริแกน บาดเจ็บก่อนโอลิมปิคฤดูหนาวปี 1994 เคร็ก กิลเลสพายกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยสตีเวน โรเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2017 และเข้าฉายในวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2017 โดยนีออน
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงประกบดอมห์นอล กลีสันในภาพยนตร์โดยไซมอน เคอร์ติสเรื่อง Goodbye Christopher Robin ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเอ.เอ. มิลเน (กลีสัน) ผู้สร้าง Winnie the Pooh และแดฟเน (ร็อบบี้) ภรรยาของเขา ฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 13 ตุลาคม ปี 2017
ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ดรามาเกี่ยวกับดัสต์ โบว์ลในยุค 30s โดยไมลส์ โจริส-เพย์แรฟฟิตต์เรื่อง Dreamland ซึ่งลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทงานสร้างของเธอได้อำนวยการสร้างร่วมกับออโต้มาติค ร็อบบี้ได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเล่าเรื่องของเด็กหนุ่มวัย 15 ปี ผู้เอาชนะเอฟบีไอและตำรวจท้องถิ่นนการค้นหาและจับกุมโจรปล้นธนาคารที่หลบหนี (ร็อบบี้) ได้ แต่ก็ได้รับรู้ว่า เธอเป็นมากกว่าที่ทางเจ้าหน้าที่อวดอ้างเสียอีก
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยโจซี โร้คเรื่อง Mary Queen of Scots ที่เธอรับบทราชินีอลิซาเบธ ประกบเซียร์ซา โรแนนในบทแมรี สจวร์ต โปรเจ็กต์จากโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่องนี้จะเล่าเรื่องความเป็นปรปักษ์ตามที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ระหว่างลูกพี่ลูกน้อง อลิซาเบธและแมรี เมื่อฝ่ายหลังพยายามจะแย่งชิงบัลลังก์อังกฤษของอลิซาเบธ
ร็อบบี้มีโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลายเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนพัฒนาภายใต้แบนเนอร์ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ของเธอ ซึ่งทุกเรื่องตอบสนองเป้าหมายของเธอในการเล่าเรื่องราวที่มีตัวละครหญิงแกร่ง ซึ่งสี่เรื่องที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ Bad Monkeys, Fierce Kingdom, Marian และ The Paper Bag Princess
Bad Monkeys ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันโดยแมทท์ รัฟฟ์ เล่าเรื่องของเจน ชาร์ล็อตต์ ผู้ไปลงเอยอยู่ในสถานกักกันคลาร์ค เคาน์ตี้ในลาสเวกัสหลังจากที่เธอถูกจับกุมคดีฆาตกรรม เจนอ้างว่าเธอทำงานให้กับองค์กรลับ แผนกกำจัดบุคคลที่ไม่อาจเยียวยาได้ขั้นเด็ดขาด หรือ “แบ๊ด มังกี้ส์” ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สได้ซื้อสิทธิทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้เพื่อมาสร้างโดยดีแลน คลาร์ค โดยมีร็อบบี้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและโจซีย์ แม็คนามารารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง
ลัคกี้แช็ป เอนเตอร์เทนเมนต์ได้อำนวยการสร้างเรื่อง Fierce Kingdom ร่วมกับวอร์เนอร์ บรอส. และดิ โนวี พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งสร้างจากนิยายทริลเลอร์โดยจิน ฟิลลิปส์เรื่อง Beautiful Things เล่าเรื่องของแม่และลูกชายที่ติดอยู่ในสวนสัตว์ที่มีมือปืนอาละวาดอยู่
นอกเหนือจากนั้น ลัคกี้แช็ปยังจะอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Marian ร่วมกับโดนัลด์ เดอ ไลน์และเอมี ปาสคัลอีกด้วย ร็อบบี้ถูกวางตัวให้แสดงบทเมด มาเรียน ผู้รับหน้าที่ในการนำผู้คนของเธอเข้าสู่สงครามครั้งสำคัญหลังจากที่โรบิน ฮู้ด คนรักของเธอ ได้เสียชีวิตลง
สุดท้าย ลัคแช็ปก็อยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Paper Bag Princess ร่วมกับบราวน์สโตน โปรดักชันส์ของอลิซาเบธ แบงค์, คลับเฮาส์ พิคเจอร์สของไบรอัน อันเคเลสและแดน เครช ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สได้ซื้อสิทธิสำหรับหนังสือเบสต์เซลเลอร์สำหรับเด็กชื่อเดียวกันนี้
เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ร็อบบี้ได้แสดงบทฮาร์ลีย์ ควินน์ที่โด่งดังประกบจาเร็ด เลโต, วิล สมิธและวิโอลา เดวิสในภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Suicide Squad การแสดงบทควินน์ของร็อบบี้เป็นครั้งแรกที่ตัวร้ายขวัญใจแฟนๆ จากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ได้โลดแล่นบนจอเงิน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยเดวิด เอเยอร์ ได้เข้าฉายในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2016 และปัจจุบัน ครองอันดับเก้าในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกด้วยรายได้กว่า 745,600,000 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ เธอยังรับบท “เจน พอร์ตเตอร์” ตัวละครคลาสสิกในตำนานในภาพยนตร์โดยเดวิด เยทส์เรื่อง The Legend of Tarzan ประกบอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด, ซามวล แอล. แจ็คสันและคริสตอฟ วอลท์ แอ็กชันผจญภัยจากวอร์เนอร์ บรอส. เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2016 และทำรายได้ไปกว่า 356,700,000 ล้านเหรียญทั่วโลก
เธออาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง The Wolf of Wall Street ซึ่งเธอรับบทนางเอกประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากอนุทินชื่อเดียวกันโดยจอร์แดน เบลฟอร์ท เล่าเรื่องราวของนักค้าเงินชาวนิวยอร์ก (ดิคาปริโอ) ผู้ถูกจำคุกนาน 20 เดือนในข้อหาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในคดีฉ้อโกงด้านความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับการคอรัปชันในวอลล์สตรีท โลกธนาคารของกลุ่มบริษัทและการแฝงตัวในกลุ่มคน ร็อบบี้ที่รับบทภรรยาของดิคาปริโอในภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์, โจนาห์ ฮิล, ร็อบ ไรเนอร์, จีน ดูจาร์ดิน, จอน แฟฟโรว์และไคล์ แชนด์เลอร์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Whiskey Tango Foxtrot ประกบทีนา เฟย์, ภาพยนตร์โร้ดไซด์ แอทแทรคชันเรื่อง Z for Zachariah ประกบชิเวเทล เอจิโอโฟร์และคริส ไพน์, ภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Focus ประกบวิล สมิธ, Suite Française ประกบมิเชลล์ วิลเลียมส์, คริสเตน สก็อต โธมัสและแมทเธียส โชเนิร์ทส์และ About Time ประกบราเชล แม็คอดัมส์และดอมห์นัล กลีสัน
ร็อบบี้เปิดตัวในอเมริกาด้วยซีรีส์เอบีซีชื่อดังเรื่อง “Pan Am” ในปี 2011 พีเรียดดรามาเรื่องนี้เล่าเรื่องชีวิตของนักบินและแอร์โฮสเตส ผู้ครั้งหนึ่งเคยทำให้แพนแอมเป็นสายการบินที่หรูหราที่สุด ร็อบบี้รับบท “ลอรา” เจ้าสาวกลัวฝน ผู้หนีชีวิตที่น่าเบื่อเพื่อทะยานสู่ฟากฟ้า ซีรีส์นี้สร้างโดยแจ็ค ออร์แมน (“ER,” “Men of a Certain Age”) และนำแสดงโดยคริสตินา ริชชี
ในออสเตรเลีย ร็อบบี้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบท “ดอนนา ฟรีดแมน” ในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Neighbours” ซึ่งเล่าถึงชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนถนนแรมซ์ในย่านสมมติอีรินส์โบโรห์ ในออสเตรเลีย การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลโลจี้ อวอร์ดสาขานักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดนิยมและนักแสดงหญิงยอดนิยม
ร็อบบี้เกิดในออสเตรเลีย เธอโตมาบนฝั่งโกลด์ โคสต์และท้ายที่สุด เธอก็ย้ายไปเมลเบิร์น ที่ซึ่งเธอเริ่มต้นงานแสดงตอนอายุ 17 ปี ปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส

เจมส์ คอร์เดน (ปีเตอร์ แร็บบิท) เป็นพิธีกรเจ้าของรางวัลเอ็มมี อวอร์ด มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง นักแสดงรางวัลโทนี อวอร์ดและเจ้าของหลายรางวัลบาฟตา อวอร์ด
คอร์เดนเป็นพิธีกรรายการ “The Late Late Show” ซึ่งเปิดตัวทางซีบีเอสในเดือนมีนาคม ปี 2015 เขาได้รับสามรางวัลเอ็มมี อวอร์ด โดยหนึ่งรางวัลในสาขาโปรแกรมอินเตอร์แอ็กทีฟยอดเยี่ยม (2016) และอีกสองรางวัลในสาขารายการวาไรตี้พิเศษยอดเยี่ยม (2016 และ 2017) สำหรับรายการ “The Late Late Show Carpool Karaoke Primetime Special” คอร์เดนได้รับการเสนอชื่อชิงอีกสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ดในปี 2016 และ 2017 ในสาขารายการวาไรตี้ทอล์คยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาทอล์คโชว์ยอดเยี่ยม นับตั้งแต่ที่คอร์เดนรับหน้าที่พิธีกรรายการ “The Late Late Show” ซีรีส์นี้ก็ทำลายสถิติยูทูปด้วยยอดการชมกว่า 3 พันล้านครั้งและครองเรตติ้งสูงสุดสำหรับพิธีกร นับตั้งแต่รายการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1995 แชนแนล “The Late Late Show” มีฐานผู้ชมประมาณ 12 ล้านคนและครองตำแหน่งสามวิดีโอช่วงดึกที่มีผู้ชมมากที่สุดทางยูทูป ด้วย Adele Carpool Karaoke, Justin Bieber Carpool Karaoke และ One Direction Carpool Karaoke
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมสร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Carpool Karaoke” ใหม่สำหรับแอปเปิล มิวสิค ซึ่งได้รับรางวัลพีจีเอ อวอร์ดปี 2017 สาขารายการขนาดสั้นยอดเยี่ยมด้วย เขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง “Drop the Mic” ซึ่งเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปี 2017 ทางทีบีเอส
คอร์เดนเป็นพิธีกรรายการรประกาศผลรางวัลโทนี อวอร์ดครั้งที่ 70 ซึ่งมียอดผู้ชมสูงสุดในรอบ 15 ปีและได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขา “รายการพิเศษยอดเยี่ยม” นอกจากนี้ เขายังเป็นพิธีกรรายการประกาศผลรางวัลแกรมมี อวอร์ดครั้งที่ 59 และกลับมารับหน้าที่นี้อีกครั้งในปี 2018 ด้วย
ในอังกฤษ เขาได้เป็นพิธีกรรายการเกมโชว์น่าขบขันที่มีธีมเกี่ยวกับกีฬาของอังกฤษและได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ด “A League of Their Own” ซึ่งแพร่ภาพทางสกาย วัน นอกจากนี้ เขายังเป็นพิธีกรรายการประกาศผลรางวัลบริท อวอร์ด ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการดนตรีอังกฤษ ระหว่างปี 2010-2014 อีกด้วย เขาได้แสดง อำนวยการสร้างและเขียนบททริลเลอร์คอเมดีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาเรื่อง “The Wrong Mans” ซึ่งแพร่ภาพทางบีบีซี และฮูลู ในปี 2013 คอร์เดนได้รับรางวัลรอยัล เทเลวิชัน โซไซตี้ อวอร์ดสาขามือเขียนบทคอเมดีแห่งปีจากผลงานของเขาในซีรีส์ดังกล่าวด้วย
ก่อนหน้านี้ เขารับบท ‘สมิธตี้’ ในซีรีส์คอเมดีชื่อดังทางบีบีซีเรื่อง “Gavin and Stacey” ซึ่งเขาร่วมสร้างและร่วมเขียนบท บทนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลบาฟตา เทเลวิชัน อวอร์ดสาขาการแสดงคอเมดีชายยอดเยี่ยมในปี 208 และบริติช คอเมดี อวอร์ดสาขาการแสดงคอเมดีชายยอดเยี่ยมในปี 2007 ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลบริติช คอเมดี อวอร์ดสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมในปี 2008 และรางวัลเนชันแนล เทเลวิชัน อวอร์ดสาขารายการคอเมดียอดนิยมในปี 2010 นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในซีรีส์อังกฤษเรื่อง “Fat Friends” ระหว่างปี 2000-2005 ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลรอยัล เทเลวิชัน โซไซตี้ อวอร์ดปี 2000 สาขานักแสดงหน้าใหม่ของสถานีโทรทัศน์และในปี 2011 เขาก็ได้รับบทประจำในซีรีส์ไซไฟยอดนิยมทางบีบีซีเรื่อง “Doctor Who” ในบทเคร็ก โอเวนส์ เพื่อนร่วมห้องของด็อคเตอร์อีกด้วย
ด้านจอเงิน คอร์เดนจะแสดงประกบริฮันนา, เคท บลังเช็ตต์, แอนน์ ฮาธาเวย์และแซนดรา บุลล็อคในภาพยนตร์เรื่อง Ocean’s 8 สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. ล่าสุด เขาได้แสดงประกบเมอริล สตรีพและเอมิลี บลันท์ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง Into the Woods, Begin Again ประกบเคียรา ไนท์ลีย์และมาร์ค รัฟฟาโล, The Three Musketeers ประกบออร์ลันโด้ บลูม, Gulliver’s Travels ประกบแจ็ค แบล็คและเจสัน ซีเกล, How to Lose Friends and Alienate People ประกบเจฟฟ์ บริดเจสและ The History Boys ประกบโดมินิค คูเปอร์
ด้านละครเวที คอร์เดนได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกในฐานะนักแสดงนำของละครเวทีคอเมดีเรื่อง “One Man, Two Guvnors” ซึ่งเขาแสดงครั้งแรกที่เนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน ก่อนที่จะได้ขึ้นเวทีบรอดเวย์ การแสดงของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2012 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครเวท ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง “The History Boys” ที่เปิดการแสดงทั่วโลกในบท ทิมส์ ซึ่งเขาได้แสดงในเวอร์ชันภาพยนตร์ด้วย ตลอดการทำงานของเขา คอร์เดนได้รับรางวัลสมาพันธ์นักเขียนแห่งเกาะอังกฤษสาขานักเขียนคอเมดีแห่งปี, รางวัลเซาธ์ แบงค์ โชว์ อวอร์ดสาขาคอเมดี, ทริค อวอร์ดสาขาคอเมดียอดเยี่ยมและรางวัลโทรทัศน์แห่งชาติสาขาคอเมดียอดเยี่ยม

ประวัติทีมผู้สร้าง
วิลล์ กลัค (ผู้กำกับ/มือเขียนบทร่วม/ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเป้าหมายในการสร้างโปรเจ็กต์ที่สะท้อนถึงป็อป คัลเจอร์และจับใจผู้ชม กลัคได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับคอเมดียอดเยี่ยม ผู้ใส่หัวใจและความติดดินเข้าไปในผลงานทุกเรื่องของเขา
ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการเตรียมงานเพื่อกำกับและอำนวยการสร้างคอเมดีตลกร้ายเรื่อง Jackpot สำหรับโกลบอล โร้ดและโรแมนติกคอเมดีดรามาเกี่ยวกับการปล้นเรื่อง Steal Away สำหรับโคลัมเบีย พิคเจอร์ส เขาอยู่ระหว่างการพัฒนาแอ็กชันคอเมดีร่วมกับดเวย์น จอห์นสัน สำหรับนิวไลน์ผ่านทางบริษัทโอลีฟ บริดจ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ของเขา นอกจากนี้ บริษัทนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์อื่นๆ ที่โคลัมเบีย, ฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์และโฟกัส ฟีเจอร์สอีกด้วย
ล่าสุด เขาเพิ่งมีผลงานเป็นภาพยนตร์เรื่อง Annie โฉมใหม่ยุคปัจจุบัน ที่เขากำกับและร่วมเขียนบทสำหรับโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยคูเวนซานเน วอลลิสในบทนำ ประกบเจมี ฟ็อกซ์, โรส ไบรน์และคาเมรอน ดิแอซ ตัวกลัคเองได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาเพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยมสำหรับเพลง “Opportunity” จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับเซียและเกร็ก เคิร์สติน
นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้กับสถานีโทรทัศน์และเคเบิลต่างๆ รวมถึงซีรีส์ที่สร้างจาก Down the Rabbit Hole โดยฮอลลี เมดิสันแล้ว กลัคและโอลีฟ บริดจ์ยังอยู่ระหว่างการสร้างซีรีส์แอ็กชันคอเมดีที่นำแสดงโดยโทเฟอร์ เกรซเรื่อง “Treasure Squad” ที่อเมซอน, ซีรีส์อนิเมชัน “Sticks” สำหรับฟรีฟอร์ม, ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Angry Angel” สำหรับฟรีฟอร์มและด็อคคิวดรามามิวสิคัลเรื่อง “Encore” สำหรับเอบีซีอีกด้วย โอลีฟ บริดจ์ได้อำนวยการสร้างซีรีส์อนิเมชันเรื่อง “Moonbeam City” สำหรับคอเมดี เซ็นทรัลและซิทคอมสำหรับครอบครัวเรื่อง “The McCarthys” สำหรับซีบีเอส ในปี 2013 กลัคได้ร่วมสร้างและกำกับซีรีส์ดังเรื่อง “The Michael J. Fox Show” สำหรับเอ็นบีซีและ “The Loop” สำหรับฟ็อกซ์
กลัคได้ปล่อยผลงานเรื่อง Friends with Benefits ในฤดูร้อนปี 2011 สำหรับโซนี/สกรีน เจมส์ ที่นำแสดงโดยจัสติน ทิมเบอร์เลค, มิลา คูนิส, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, แพทริเซีย คลาร์คสันและริชาร์ด เจนกินส์ และทำรายได้ไปกว่า 155 ล้านเหรียญทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา Easy A ที่เข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2010 ประสบความสำเร็จด้านรายได้และคำวิจารณ์อย่างล้นหลาม และได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์คอเมดียอดเยี่ยมอีกด้วย กลัคได้เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ตลกร้ายปี 2009 เรื่อง FIRED UP นอกเหนือจากงานกำกับแล้ว กลัคยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง About Last Night สำหรับสกรีน เจมส์ในปี 2014 ด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ โอลีฟ บริดจ์เพิ่งทำข้อตกลงที่จะร่วมมือเป็นเวลาหลายปีกับโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์และอินเตอร์ลูด/เอโก เพื่ออำนวยการสร้างคอนเทนท์ดิจิตอล อินเตอร์แอ็กทีฟ

ร็อบ ลีเบอร์ (มือเขียนบทร่วม/ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง ผู้ซึ่งมีผลงานรวมถึงภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day และซีรีส์เอบีซีเรื่อง “The Goldbergs” ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการทำงานในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์กับรอน โฮเวิร์ด, อิเมจิน เอนเตอร์เทนเมนต์และแอนนิมอล โลจิค เอนเตอร์เทนเมนต์ รวมถึงเบน สติลเลอร์และเรด เอาเออร์ โปรดักชันส์ นอกเหนือจากนั้น เขายังอยู่ระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Goosebumps 2 สำหรับโซนี และควบคุมงานสร้างภาพยนตร์อินดีเรื่อง Time Freak ที่กำกับโดยแอนดรูว์ โบว์เลอร์ และนำแสดงโดยอาซา บัตเตอร์ฟิลด์และโซฟี เทิร์นเนอร์อีกด้วย

ซาเรห์ นัลแบนเดี้ยน (ผู้อำนวยการสร้าง) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแอนนิมอล โลจิค เป็นผู้จัดการ พัฒนาและอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มาตลอดกว่า 25 ปีที่ผ่านมา เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างและศิลปินชื่อดังในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคของเราหลายเรื่อง นับตั้งแต่ที่แอนนิมอล โลจิคได้ขยับขยายสู่งานวิชวล เอฟเฟ็กต์ภาพยนตร์ในปี 1996 และภาพยนตร์อนิเมชันในปี 2006 นัลแบนเดี้ยนก็ได้เป็นผู้นำหนึ่งในวัฒนธรรมเทคนิคและศิลปะที่ได้รับการยกย่องและเป็นที่ชื่นชมมากที่สุดในวงการ และสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้นำระดับโลกด้านอนิเมชัน วิชวล เอฟเฟ็กต์ และการพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์
นัลแบนเดี้ยนเป็นผู้ควบคุมงานสร้างของภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Happy Feet, ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันผจญภัยเรื่อง Legend of the Guardians: The Owls of Ga’Hoole ที่กำกับโดยแซ็ค สไนเดอร์ และล่าสุด เขาก็รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The LEGO® Movie, The LEGO® Batman Movie และ The LEGO® Ninjago Movie
นัลแบนเดี้ยนมุ่งมั่นในการสร้างวงการถ่ายทำดิจิตอลที่ประสบความสำเร็จและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในออสเตรเลียและมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นกับผู้บริหารสตูดิโออเมริกันคนสำคัญรวมถึงผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างระดับแนวหน้าทั้งในออสเตรเลียและทั่วโลก
นอกเหนือจากการบริหารงานในแต่ละวันของกลุ่มบริษัทของแอนนิมอล โลจิคแล้ว นัลแบนเดี้ยนยังเป็นผู้นำในการพัฒนาภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นและยังคงเดินหน้าผลักดันขีดจำกัดในการเล่าเรื่องราวด้วยวิธีการทางดิจิตอลอย่างต่อเนื่อง

ดั๊ก เบลแกรด (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ดำรงตำแหน่งผู้บริหารภาพยนตร์ที่โซนี พิคเจอร์สมาเกือบ 27 ปี ล่าสุด ในฐานะประธานโมชัน พิคเจอร์ กรุ๊ปแห่งโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ ก่อนหน้านั้น เขาได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายงานสร้างที่โคลัมเบีย พิคเจอร์สแห่งโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเขาได้ควบคุมงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์ของบริษัท มาตลอด 10 ปี
หลังจากที่ออกจากตำแหน่งบริหารมาในปี 2016 เบลแกรดก็ได้เป็นพันธมิตรกับโซนีในการอำนวยการสร้างและร่วมสนับสนุนเงินทุนภาพยนตร์หลายเรื่องของโซนี เริ่มต้นจาก Peter Rabbit และรวมถึง Bad Boys 3, Charlie’s Angels และ ฯลฯ ผ่านทาง 2.0 เอนเตอร์เทนเมนต์
ในฐานะผู้บริหาร เบลแกรดได้ริเริ่มหรือปลุกชีพให้กับแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดของสตูดิโอหลายเรื่อง รวมถึง Spider-Man: Homecoming, Ghostbusters, Men in Black, Bad Boys, Jump Street, Grown Ups, Smurfs และ ฯลฯ
ภาพยนตร์สองเรื่องสุดท้ายที่ได้รับไฟเขียวจากสตูดิโอก่อนหน้าที่เบลแกรดจะโบกมือลาตำแหน่งผู้บริหารคือ Jumanji: Welcome to the Jungle และ Peter Rabbit ภารกิจส่วนหนึ่งของ 2.0 เอนเตอร์เทนเมนต์คือการอำนวยการสร้างและให้เงินทุนสนับสนุนความบันเทิงเชิงพาณิชย์สำหรับครอบครัว
นอกจากนี้ 2.0 ยังมีบทบาทในงานสร้างซีรีส์โทรทัศน์และจะอำนวยการสร้างตอนไพล็อตเรื่องแรกของพวกเขา ซึ่งเป็นแอ็กชันคอเมดีที่ต่อยอดมาจากแฟรนไชส์ “Bad Boys” และนำแสดงโดยกาเบรียล ยูเนียน สำหรับเอ็นบีซี ในฤดูใบไม้ผลิปี 2018

โจดี้ ฮิลเดอแบรนด์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ด้วยประสบการณ์สิบสามปีในแวดวงภาพยนตร์สตูดิโอและภาพยนตร์อินดี
ปัจจุบัน ฮิลเดอแบรนด์เป็นหัวหน้าฝ่ายภาพยนตร์ที่โอลิฟ บริดจ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของมือเขียนบท/ผู้กำกับวิล กลัค ที่อยู่ภายใต้โซนี พิคเจอร์ส และได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างทั้งหมด ก่อนหน้านี้ เธอได้ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายงานสร้างที่มาร์เวล สตูดิโอส์ ระหว่างทำงานที่นั่น เธอได้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Runaways และ Ant-Man
เธอเริ่มต้นงานบริหารของเธอที่ซิดนีย์ คิมเมล เอนเตอร์เทนเมนต์ ด้วยการทำงานในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Adventureland, Death at a Funeral, Lars and the Real Girl และ Charlie Bartlett

แคทเธอรีน บิช็อป (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ผู้จัดการงานสร้างมากประสบกาณ์ ได้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Strangerland, Son of a Gun, Bran Nue Dae, Where the Wild Things Are, Ghost Rider, Stealth, Ned Kelly, The Quiet American, Welcome to Woop Woop และ Muriel’s Wedding PETER RABBIT™ เป็นผลงานเรื่องแรกในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างของเธอ

ตลอดระยะเวลาการทำงานในวงการกว่า 18 ปี ซูซาน โบลโซเวอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ ตัวแทน และผู้ให้ลิขสิทธิ์ ที่ได้ร่วมงานกับบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดหลายคนในแวดวงลิขสิทธิ์แบรนด์และตัวละคร โบลโซเวอร์เริ่มต้นอาชีพในแวดวงลิขสิทธิ์ของเธอที่บีบีซี เวิลด์ไวด์ ด้วยการจัดการแบรนด์พรีสคูลของบีบีซี เวิลด์ไวด์ ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมพัฒนาแบรนด์ระดับโลก ก่อนที่จะไปทำงานที่เดอเอกอสตินี สำนักพิมพ์อิตาลี ที่เธอได้ร่วมประสานงานในเรื่องผลิตภัณฑ์ระดับโลกสำหรับแบรนด์ต่างๆ เช่นแฟรนไชส์ Star Wars และ The Lord of the Rings ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่เพนกวิน แรนดอม เฮาส์ โบลโซเวอร์ได้ทำงานเกือบสิบปีที่ ซีพีแอลจี เอเจนซีลิขสิทธิ์ทั่วโลกที่ได้รับรางวัลมากมาย ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายงานพิมพ์ยุโรป และได้เป็นตัวแทนของสตูดิโอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฮอลลีวูดหลายแห่ง รวมถึงยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส, พาราเมาท์ พิคเจอร์สและดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน และแฟรนไชส์ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Despicable Me, Shrek และ Star Trek โบลโซเวอร์มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งเพนกวิน เวนเจอร์ส (ส่วนหนึ่งของเพนกวิน แรนดอม เฮาส์) ซึ่งเป็นทีมงานภายใต้สังกัดของเธอในตำแหน่งปัจจุบันในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์และผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค เธอได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ขยายแบรนด์ของแผนกเด็ก ซึ่งรวมถึง Peter Rabbit and the Snowman ทั้งในอังกฤษและต่างประเทศ รวมถึงมองหาโอกาสสำหรับการพัฒนาใหม่ๆ ในแง่ของลิขสิทธิ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์และละครเวทีอีกด้วย

เอ็มมา ท็อปปิ้ง (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้บริหารงานภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที ด้วยประสบการณ์การทำงานยี่สิบปีกับและสำหรับสตูดิโอ สถานีโทรทัศน์ ผู้อำนวยการสร้างอิสระ นายทุน ผู้จัดจำหน่าย เจ้าของแบรนด์และผู้สร้างคอนเทนท์
ที่เพนกวิน แรนดอม เฮาส์ (ซึ่งเฟรเดอริค วอร์น แอนด์ โค. เป็นส่วนหนึ่งของมัน) ท็อปปิ้งได้จัดการงานด้านกฎหมายและธุรกิจสำหรับการดัดแปลงหนังสือเป็นภาพยนตร์ การดัดแปลงหนังสือเป็นซีรีส์โทรทัศน์และการดัดแปลงหนังสือเป็นละครเวที รวมถึงเรื่อง Beatrix Potter, The Snowman, The Snowman and the Snowdog และ Puffin Rock นอกจากนี้ เธอยังมีบริษัทของตัวเองในชื่อ เอ็มมา ท็อปปิ้ง เอนเตอร์เทนเมนต์ และเมื่อเร็วๆ นี้ เธอก็เพิ่งเสร็จจากการทำงานซื้อสิทธิสำหรับภาพยนตร์สารคดีที่สร้างจากหนังสือเรื่อง The Spy Who Fell to Earth โดยดร.อาห์รอน นักเขียนของเธอ
ท็อปปิ้งเริ่มต้นงานบริหารภายในของเธอที่เดอะ เรียลลี ยูสฟูล กรุ๊ปของแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ ก่อนที่จะไปทำงานที่ดิสนีย์ เอ็กซ์ดี (ที่ตอนนั้นเป็น เจทิกซ์ ยุโรป และเป็นส่วนหนึ่งของเดอะ วอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี) ที่ซึ่งเธอได้ทำงานในซีรีส์ต่างๆ มากมายรวมถึง Power Rangers, Teenage Mutant Ninja Turtles และ Marvel

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรปีเตอร์ สตาร์ค โปรดิวซิง ของยูเอสซี เจสัน ลัสต์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ก็ได้ก่อตั้งเซอร์เคิล ออฟ คอนฟิวชัน บริษัทงานสร้างและการจัดการที่ประสบความสำเร็จ ที่โด่งดังจากผลงานแปลกใหม่อย่าง The Matrix และ “The Walking Dead” หลังจากนั้น ลูกสาวของไอดอลสมัยเด็กคนหนึ่งของเขา (จิม เฮนสัน) ก็เสนอให้เขาบริหารงานแผนกภาพยนตร์ของจิม เฮนสัน คัมปะนี ที่เขาทำงานานเจ็ดปี และได้ลงเอยด้วยการพัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day และภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายใหม่เรื่อง Happy Time Murders และ Fraggle Rock รวมถึงภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Pinnochio หลังจากที่เขาโบกมือลาเฮนสันมาโดยที่มีการเตรียมงานภาพยนตร์หลายเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ร่วมมือกับแอนนิมอล โลจิค และช่วยพวกเขาให้เปลี่ยนจากการเป็นคนทำงานไปสู่การเป็นผู้อำนวยการสร้างงานสร้างสรรค์ด้วยผลงานภาพยนตร์มากมาย ปัจจุบัน เขาถูกวางตัวให้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Astro Boy, Fortunately the Milk โดยมีเอ็ดการ์ ไรท์กำกับและจอห์นนี เด็ปป์นำแสดงและ The Shrinking of the Treehorns ร่วมกับอิเมจิน เอนเตอร์เทนเมนต์ รวมถึงภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นอีกหลายเรื่อง หลังจากแอนนิมอล โลจิค ลัสต์ก็ได้ก่อตั้งโซลูเบิล ฟิช โปรดักชันส์และได้ริเริ่มงานของตัวเองร่วมกับพันธมิตรในการอำนวยการสร้างที่หลากหลายภายในวงการ ปัจจุบัน เขาเพิ่งเตรียมงาน Tom Thumb ที่ฟ็อกซ์ สตูดิโอส์ และกำลังทำงานในภาพยนตร์สำหรับครอบครัวร่วมกับผู้กำกับ มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างมากพรสวรรค์ ที่จะมีการประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ เขายังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์จอแก้วหลายเรื่องกับสตูดิโอต่างๆ ลัสต์ยิ่งกว่าตื่นเต้นที่ได้อำนวยการสร้างคอนเทนท์ที่ผลักดันขีดจำกัดในทุกทิศทางให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โจนาธาน ลูดซินสกี้ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารที่แอนนิมอล โลจิค เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและดูแลงานพัฒนาภาพยนตร์อนิเมชัน ภาพยนตร์ไฮบริดและภาพยนตร์วิชวล เอฟเฟ็กต์สเกลยักษ์ที่โซนี พิคเจอร์ส, วอร์เนอร์ บรอส., นิวไลน์, ไลออนส์เกทและฟ็อกซ์ ก่อนหน้านี้ เขาดำรงตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ที่เดอะ วอลท์ เบ็คเกอร์ คัมปะนี และได้พัฒนางานคอเมดีทั้งจอแก้วและจอเงิน หลังจากพัฒนาและริเริ่มคอเมดีหนึ่งชั่วโมงเรื่อง “Glory Daze” ที่ทีบีเอส เขาก็ได้ใช้ตำแหน่งผู้บริหารบริษัทของเขาในการต่อรองให้ได้เขียนบทในซีรีส์ดังกล่าว ก่อนหน้าทั้งหมดนี้ เขาดำรงตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับดิค วูลฟ์ ภายใต้วูลฟ์ ฟิล์มส์แห่งเอ็นบีซี ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโปรเจ็กต์จอแก้วมากมายนอกเหนือจากแบรนด์ “Law and Order” ระหว่างนี้ เขายังได้ขายตอนไพล็อตสองเรื่องให้กับทั้งเอ็นบีซีและสตาร์ซ เน็ตเวิร์ค ก่อนหน้านั้น ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดีเรื่อง American Saint ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เฮาส์แมนจาก Amadeus และ The People vs. Larry Flynt

ปีเตอร์ เมนซีส์, จูเนียร์, เอซีเอส (ผู้กำกับภาพ) เป็นชาวซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาได้รู้จักกับวงการภาพยนตร์ครั้งแรกจากพ่อของเขา ปีเตอร์ เมนซีส์ ผู้กำกับภาพชาวออสเตรเลีย เมนซีส์ได้ทำงานในภาพยนตร์กว่าสามสิบเรื่องให้กับผู้กำกับมากมาย ตั้งแต่จอห์น ซิงเกิลตัน, หลุยส์ เล็ทเทอร์เรียร์และจอห์น แม็คเทียร์แนน ไปจนถึงไซมอน เวสต์, แซม ไรมีและแพทริค ฮิวจ์ ผลงานภาพยนตร์ของเมนซีส์ครอบคลุมธีมที่หลากหลาย ตามที่ปรากฏในผลงานภาพนยตร์ของเขา ซึ่งรวมถึง The Incredible Hulk, Clash of the Titans, Lara Croft: Tomb Raider, Playing for Keeps, ภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง The Kid และ All Eyez on Me นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์มากมายแล้ว เขายังได้ถ่ายทำตอนไพล็อตให้กับซีรีส์ “Traveler” ที่กำกับโดยเดวิด นัตเตอร์, “Gothica” สำหรับอานันด์ ทัคเกอร์, “Hawthorne” ที่กำกับโดยมิคาเอล ซาโลมอนและล่าสุด “Roots” ที่กำกับโดยบรูซ เบเรสฟอร์ด เขาแต่งงานแล้วและมีลูกสาวสามคน เขาแบ่งการใช้เวลาระหว่างการอยู่ที่บ้านพักในออสเตรเลียและอเมริกา เขาเป็นสมาชิกของสมาคมผู้กำกับภาพชาวออสเตรเลียและสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ออสเตรเลีย

การทำงานในตำแหน่งผู้ออกแบบงานสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ของโรเจอร์ ฟอร์ด (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เริ่มต้นขึ้นในลอนดอนในยุค 60s
โปรเจ็กต์ออกแบบงานแรกของเขาคืองานสำหรับบีบีซี เทเลวิชัน และรวมถึง “The Cliff Richard Show,” “The Cilla Black Show,” “The Spike Milligan Show” และหลายซีซันของ “Doctor Who” ในช่วงต้นยุค 70s เขาเริ่มทำงานในซิดนีย์กับเอบีซี เทเลวิชัน ในตำแหน่งผู้ออกแบบฉากและเครื่องแต่งกาย ก่อนที่เขาจะได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกออกแบบนานหลายปี ผลงานการออกแบบงานสร้างและเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์ของเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 1985
ผลงานที่โดดเด่นของเขารวมถึง The Year My Voice Broke, Flirting, Sirens ที่กำกับโดยจอห์น ดูแกน, Children of the Revolution ที่กำกับโดยปีเตอร์ ดันแคน, Babe ที่กำกับโดยคริส นูแนและ Babe: Pig in the City ที่กำกับโดยจอร์จ มิลเลอร์, Rabbit-Proof Fence และ The Quiet American ที่กำกับโดยฟิลลิป นอยซ์, Peter Pan ที่กำกับโดยพี.เจ. โฮแกน, Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch, and the Wardrobe และ Chronicles of Narnia: Prince Caspian ที่กำกับโดยแอนดรูว์ อดัมสันและ The Dressmaker ที่กำกับโดยโจเซลิน มัวร์เฮาส์ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเขาในเรื่อง Babe เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียสิบครั้งในสาขาออกแบบงานสร้างและออกแบบเครื่องแต่งกาย และคว้ารางวัลมาได้สามครั้ง รวมถึงได้รับรางวัลเล็กซัส อิฟ อวอร์ดปี 2002 สาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมจาก Rabbit-Proof Fence ด้วย

คริสเตียน กาซัล (มือลำดับภาพ) เป็นมือลำดับภาพที่ทำงานในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ผลงานของเขารวมถึง Mountain and Sherpa ที่กำกับโดยเจน พีดอม, The Little Death ที่กำกับโดยจอช ลอว์สัน และภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Happy Feet ที่กำกับโดยจอร์จ มิลเลอร์

PETER RABBIT™ เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของโจนาธาน แท็ปปิน (มือลำดับภาพ) ในฐานะมือลำดับภาพ ก่อนหน้านี้ เขาเคยทำงานในแผนกลำดับภาพให้กับภาพยนตร์หลายเรื่องของแอนนิมอล โลจิค มาแล้ว รวมถึง The Lego Movie, The Lego Batman Movie และ Happy Feet Two

ลิซซี การ์ดิเนอร์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้ศึกษาด้านแฟชันและการออกแบบเครื่องแต่งกายที่ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ด้วยวัย 25 ปี เธอก็ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตา อวอร์ดจากผลงานของเธอในภาพยนตร์โดยสเตฟาน เอลเลียตเรื่อง The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert
เธอมีผลงานหลากหลายและได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย รวมถึงรางวัลโทนีสำหรับการออกแบบเครื่องแต่งกายละครมิวสิคัลบรอดเวย์เรื่อง “Priscilla, Queen of the Desert” ผลงานภาพยนตร์ของเธอรวมถึง ภาพยนตร์โดยสเตฟาน เอลเลียตเรื่อง Flammable Children, ภาพยนตร์โดยเมล กิ๊บสันเรื่อง Hacksaw Ridge, ภาพยนตร์โดยทอม วอห์ฮานเรื่อง Some Kind of Beautiful, ภาพยนตร์โดยโจนาธาน เทพลิซ์กี้เรื่อง The Railway Man and Burning Man, ภาพยนตร์โดยสเตฟาน เอลเลียตเรื่อง A Few Best Men และ Welcome to Woop Woop, ภาพยนตร์โดยคาร์เตอร์ สมิธเรื่อง The Ruins และภาพยนตร์โดยมาร์ค สตีเวน จอห์นสันเรื่อง Ghost Rider

โดมินิค ลูอิส (ดนตรี) เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษ ที่มีพรสวรรค์น่าทึ่ง ซึ่งส่งผลให้เขายืนอยู่แถวหน้าของวงการดนตรีประกอบจอแก้วและจอเงิน ปัจจุบัน โดมินิคอยู่ระหว่างการแต่งดนตรีประกอบซีซันที่สามของซีรีส์รางวัลเอ็มมีทางอเมซอนเรื่อง “The Man in the High Castle” ที่อำนวยการสร้างโดยริดลีย์ สก็อตและนำแสดงโดยอเล็กซา ดาวาลอสและรูเพิร์ต อีวานส์
นอกเหนือจากนั้น ลูอิสยังได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์ดิสนีย์ เอ็กซ์ดีเรื่อง “DuckTales” ที่นำแสดงโดยลิน-มานูเอล มิแรนดาและอัลลิสัน แจนนีย์ โปรเจ็กต์ล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์สเรื่อง Rough Night ที่นำแสดงโดยสการ์เล็ตต์ โยฮันสันและโซอี้ คราวิทซ์และคอเมดีโดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สเรื่อง Fist Fight ที่นำแสดงโดยไอซ์ คิวบ์, ชาร์ลีย์ เดย์และเทรซี มอร์แกน
นอกเหนือจากความสำเร็จด้านจอแก้วแล้ว เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง ลูอิสได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ดรามาตราตรึงใจเกี่ยวกับตัวประกันของโซนีเรื่อง Money Monster ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์และจูเลีย โรเบิร์ตส์ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแอนนี อวอร์ดสาขาดนตรียอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Free Birds ที่พากย์เสียงโดยโอเวน วิลสัน, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและเอมี โพห์เลอร์ สัญชาตญาณของเขาในการสร้างความกลมกลืนระหว่างดนตรีและภาพทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดิสคัฟเวอรี ออฟ เดอะ เยียร์จากเวทีเวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ดจากผลงานของเขาใน Spooks: The Greater Good ที่นำแสดงโดยคิท แฮริงตันและปีเตอร์ เฟิร์ธ นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Duff ที่นำแสดงโดยเมย์ วิทแมนและเบลลา ธอร์น และ Open Season: Scared Silly อีกด้วย
ก่อนหน้าที่เขาจะประสบความสำเร็จในฐานะนักประพันธ์ เขาได้ศึกษาที่รอยัล อคาเดมี ออฟ มิวสิค ในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งเขาได้รับการฝึกฝนเรื่องเชลโลและการประพันธ์ดนตรี ตลอดระยะเวลาที่เขาศึกษาที่รอยัล อคาเดมี เขาก็ได้รับการสอนโดยรูเพิร์ต เกร็กสัน-วิลเลียมส์และมีโอกาสได้ร่วมแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา The Poet ที่กำกับโดยเดเมียน ลี ลูอิสได้ใช้แบ็คกราวน์ด้านออร์เคสตราที่แข็งแรงของเขาในการแต่งออร์เคสตราและเรียบเรียงอัลบัมคลาสสิกสองชุดได้แก่ “Camilly Kerslake” และ “The Priests” และได้แต่งเพลงสำหรับอัลบัม “Lily May Show”
หลังจากย้ายจากอังกฤษไปอเมริกา เขาก็ได้ร่วมงานกับจอห์น พาวเวล ในการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในปี 2011 เรื่อง How to Train Your Dragon นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ทำงานร่วมกับนักประพันธ์ที่โด่งดังที่สุดในฮอลลีวูดหลายคน รวมถึงเฮนรี แจ็คแมนและฮันส์ ซิมเมอร์
ลูอิสมีผลงานภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง Gulliver’s Travels, Clash of the Titans, Rango, Rio, Kung Fu Panda 2, Puss in Boots, Man on a Ledge, Wreck-It Ralph, Red Dawn, X-Men: 1st Class, Sherlock Holmes: A Game of Shadows, G.I. Joe: Retaliation, Captain Phillips, This is the End, Captain America: The Winter Soldier, The Amazing Spider-Man 2, Big Hero 6, Kingsman: The Secret Service, The Interview และโฆษณาอีกหลายชิ้น
ปัจจุบัน ลูอิสใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

RELATED ARTICLES
- Advertisment -

Most Popular

Recent Comments