
สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025” และงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน?” ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ หวังเป็นแรงบันดาลใจสร้างองค์กรต้นแบบตามแนวทาง ESG โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” และให้เกียรติมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568
น.ส.ดวงพร อุดมทิพย์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประกาศผลและมอบรางวัลโครงการคัดเลือกสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 หรือ CEO Econmass Awards 2025 ในวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่โรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ โดยในปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลสุดยอดซีอีโอ ทั้งสิ้น 20 รางวัล
ทั้งนี้ โครงการสุดยอดซีอีโอประจำปี 2568 หรือ CEO Econmass Awards 2025 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างต้นแบบผู้นำองค์กรที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างแรงกระตุ้นสังคม การดำเนินธุรกิจที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวทาง ESG ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนผู้นำองค์กรที่เข้มแข็ง
น.ส.ดวงพร กล่าวว่า หลักเกณฑ์การคัดเลือก “สุดยอดซีอีโอ” ในปี 2568 นี้คณะกรรมการได้เน้นย้ำความสำคัญกับผู้นำองค์กรในด้านการบริหารงานที่ดีต่อเนื่อง มีผลงานในการพัฒนาธุรกิจอย่างชัดเจน และสามารถปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการวางแผนงานด้านการสร้างความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG กล่าวคือคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมีธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับผลกำไรทางการเงิน และ BCG ซึ่งเป็นการพัฒนาควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดการเติบโตที่สมดุล เป็นธรรม และครอบคลุม โดยคาดหวังว่าการประกาศรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรจะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดองค์กรต้นแบบ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ที่มุ่งสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย เน้นย้ำถึงการ ”รีเซต” โครงสร้างประเทศและ “ฟื้นตัว” ทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก ทั้งสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ โรคอุบัติใหม่ และการปฏิวัติเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ซึ่งทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้าไม่เพียงเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรอง อย่างไรก็ตาม การรีเซตนี้หมายถึงการ รีเซตวิธีคิด และวางรากฐานใหม่ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในมิติความมั่นคง รัฐบาลเน้นการใช้พลังทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหารในการแก้ปัญหาชายแดน, จัดการภัยสังคม (ยาเสพติด, อาชญากรรมออนไลน์) และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งถือเป็นต้นทุนแฝงในระบบ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อรองรับการเข้าเป็นสมาชิก OECD
สำหรับการรีเซตทางเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ด้วยมาตรการลดค่าครองชีพ และโครงการเศรษฐกิจเฉพาะกิจ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการเสริมศักยภาพภาคเอกชนและ SME, การส่งเสริม Smart Farming, พลังงานหมุนเวียน (Green Economy) และการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลโดยนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ ด้านสังคม รัฐบาลต้องรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ มีงานทำและมีรายได้ และนำหลัก Universal Design มาปรับใช้กับโครงสร้างพื้นฐาน ขณะเดียวกันต้องเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านการจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตและออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ. จัดการอากาศสะอาด และเร่งสร้างรัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปราบปรามคอร์รัปชัน
“วันนี้ ผมอยากชวนให้ทุกคนร่วมมองอนาคตด้วยกัน เพราะคงไม่มีรัฐบาลไหนสามารถรีเซ็ตประเทศได้ลำพัง แต่จำเป็นต้องมีกำลังจากทุกฝ่าย วันนี้ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่ทำให้ศักยภาพนั้นทำงานอย่างเต็มที่ ผมอยากชวนทุกคนกลับมามองประเทศไทย ด้วยสายตาเป็นมิตร จริงใจ จะเห็นว่าประเทศไทยที่ไม่ใช่แค่ต้องการฟื้นตัว แต่เป็นประเทศไทยในเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายว่าจะเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”
ภายในงานยังมีเสวนาหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” โดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เผยแนวโน้มการส่งออกในปี 2569 มีแนวโน้มสดใส หากสามารถบรรลุข้อตกลง MOA กับสหรัฐฯ และบรรลุการเจรจาFTA กับสหภาพยุโรป ในส่วน ภาคการท่องเที่ยว ที่ตัวเลขไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ภาคเอกชนจึงเสนอให้นายกรัฐมนตรีเร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวจีน สำหรับแนวทางพลิกเกมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว มองว่าต้องมีการ “ปลดล็อก (Unlocking) และปฏิรูป (Transform)” ประเทศ เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันและตามทันการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของโลก การปลดล็อกประกอบด้วยการยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าสมัย, การปลดล็อกกำลังซื้อของประชาชนและธุรกิจฐานรากผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพร้อมระบบการันตี, และการเร่งรัดการค้าระหว่างประเทศ เช่น FCA อาเซียน-แคนาดา นอกจากนี้ ยังต้องเร่งขับเคลื่อนการต่อต้านและปราบปรามปัญหาคอร์รัปชั่นที่เป็นเหมือนมะเร็งร้าย อย่างเข้มข้นผ่านกลไกต่างๆ
คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาสองเครื่องยนต์สำคัญ คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากสงครามการค้า และสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็ง ดังนั้นแนวทางการปรับโครงสร้างและการขับเคลื่อนสู่อนาคต คือ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนผ่าน (Transform) ไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังภูมิภาคนี้ และการส่งเสริมการลงทุนที่ตรงกับ อุตสาหกรรมเป้าหมาย อีกทั้งยังต้องมีการปรับโครงสร้างการลงทุน จากอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีมูลค่าต่ำ ไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ควบคู่ไปกับกสรเร่งสร้างและพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันโลกมีทักษะที่พร้อมรองรับอุตสาหกรรมใหม่ พลิกโฉมการผลิต จากOEM ผู้รับจ้างผลิต ไปสู่การเป็น ODM (Original Design Manufacturer) ที่มีส่วนร่วมในการออกแบบ หรือมีแบรนด์ของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอ นโยบาย 4 GO ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงและอนาคต ซึ่งรวมถึงการให้ความสำคัญกับ Digital และ AI, นวัตกรรม, การขยายตลาดโลก, และการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงภาพรวมที่สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย พร้อมแสดงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ว่าจะอยู่ที่ 2.7 % ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนอย่างมาก โดยปัจจัยที่ทำให้ขาดความน่าสนใจในการลงทุน มาจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ได้แก่ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ประสิทธิภาพการผลิต และประสิทธิภาพของภาครัฐ ดังนั้น ถ้าจะข้ามผ่านกับดักดังกล่าว ต้องอาศัยการใช้เทคโนโลยีและแนวคิดด้านความยั่งยืนไม่ว่าจะเป็นการลดคาร์บอน (decarbonization) และการดูแลทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้สามารถใช้ประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันยังต้องส่งเสริมเรื่องหลักนิติธรรม เพื่อลดต้นทุนแฝงทุกภาคส่วน เพิ่มแรงจูงใจให้คนไทยอยู่ในระบบและทำตามกฎกติกา ซึ่งรัฐบาลเริ่มแล้วจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส ซึ่งให้แรงจูงใจแก่ผู้เสียภาษี แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย (400 บาท) แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ
หลังจากนั้นเป็นปาฐกถาพิเศษ “The Future Energy : ทิศทางพลังงานไทย” โดย คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฉายภาพให้เห็นนโยบายพลังงานของรัฐบาลที่ตั้งใจจะดำเนินการในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ซึ่งสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน การบริหารจัดการพลังงานจะเน้นที่การสร้าง ความสมดุลสามด้าน คือ ความมั่นคงทางพลังงาน การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการเข้าถึงทางเศรษฐกิจของประชาชน นโยบายหลักประกอบด้วยสามกลุ่มโครงการใหญ่ ได้แก่ โครงการส่งเสริม พลังงานแสงอาทิตย์สำหรับประชาชน ซึ่งรวมถึงฟาร์มโซลาร์ชุมชน การสูบน้ำเพื่อเกษตรกร และการลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์ในครัวเรือน โครงการส่งเสริม พลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรม เช่น การจัดตั้ง Direct PPA สำหรับ Data Center และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสายส่งไฟฟ้า และโครงการที่สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ซึ่งรวมถึงการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) และการเริ่มต้นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งนอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ยังเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลานับสิบปี จึงมีความจำเป็นที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้
ปิดท้ายด้วย ปาฐกถาพิเศษ “The Future Finance : โฉมใหม่การเงินการคลัง” โดย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างแท้จริง เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก 4 แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรง ได้แก่ 1)การเปลี่ยนผ่านจากยุคการค้าเสรีไปสู่การค้าที่ต้อง “เลือกข้าง” 2)สังคมผู้สูงอายุ โดยคนไทยส่วนใหญ่ “จนก่อนแก่” ทำให้กลายเป็นภาระการคลัง 3)การก้าวเข้าสู่ยุค AI และดิจิทัลอย่างรวดเร็ว 4) กติกาโลกสีเขียวที่เข้มงวดขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อความสามารถในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ที่นอกจากจะขาดการลงทุนมานาน ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจเก่า ขณะที่แรงงานขาดทักษะ หรือไม่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะโตเพียง 0.3% อีกทั้งยังเจอกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80% ของ GDP และ SME ขาดสภาพคล่อง ขณะที่รัฐบาลมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ในการดำเนินนโยบาย “Quick Big” โดยมีหลักคิด คือ กระตุ้นสั้น, ได้ผลยาว, และกระจายตัว
นโยบายเหล่านี้แบ่งเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่: 1) การกระตุ้นสั้น ด้วยโครงการคนละครึ่ง พลัส (Quick Stimulus) เพื่อชดเชยการส่งออก ซึ่งเน้นการกระจายตัวสู่รายเล็ก พร้อมจูงใจคนในระบบภาษีให้ได้สิทธิประโยชน์มากกว่าเพื่อสร้างวินัยการคลัง รวมถึงการกระตุ้นเที่ยวเมืองรอง 2) การช่วยเหลือหนี้ภาคประชาชน โดยใช้เงินเหลือจากกองทุนฟื้นฟูฯ ซื้อหนี้ NPL มาปรับโครงสร้างหนี้และยืดหนี้ผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) 3) การเพิ่มสภาพคล่อง SME ผ่านการค้ำประกันของ บสย., การให้มาตรการภาษีจูงใจโครงการ “พี่ช่วยน้อง” และการเร่งคืนภาษีนิติบุคคลที่ค้างจ่ายทันทีแบบ Post-Audit 4) ริเริ่ม “หวยเกษียณ 5) การลงทุนระยะยาวและพัฒนา New S-Curve เพื่อ Re-skill/Up-skill แรงงานในหลักสูตรระยะสั้นที่ตรงกับความต้องการของนักลงทุน, เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย (BCG, EV, Data Center, Semiconductor) พร้อมทั้งสนับสนุนพลังงานสะอาด โดยมั่นใจว่า 5 เสาหลักนี้จะช่วยขับดันเศรษฐกิจไทยไม่ให้ “ติดหล่ม” และสร้างศักยภาพในระยะยาวได้
สำหรับผู้ได้รับรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 มีทั้งสิ้น 20 รางวัล แบ่งเป็น สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่ สุดยอดซีอีโอรุ่นกลาง สุดยอดซีอีโอรุ่นเอสเอ็มอี สุดยอดซีอีโอรัฐวิสาหกิจ และสุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน ดังต่อไปนี้
รางวัล “สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่” 8 รางวัล ใน 7 สาขาธุรกิจ ได้แก่
1. คุณพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) สาขาเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
2. คุณดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) สาขาสินค้าอุปโภคบริโภค
3. คุณศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) สาขาธุรกิจการเงิน
4. คุณสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) สาขาทรัพยากร
5. คุณจาง ช่าย ซิง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สาขาเทคโนโลยี
6. คุณร่มพิศม์ศรี น้อยใจบุญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) สาขาสินค้าอุตสาหกรรม
7. คุณยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) สาขาบริการ
8. เดอะเบสท์ซีอีโอรุ่นใหญ่ ได้แก่ คุณสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)
รางวัล “สุดยอดซีอีโอรุ่นกลาง” 3 รางวัล ใน 2 สาขาธุรกิจ ได้แก่
1. คุณสาระ ลํ่าซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) สาขาธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง และธุรกิจภาคบริการ
2. คุณนที อ่อนอิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีทีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขาธุรกิจการเกษตรธุรกิจอุตสาหกรรมและการผลิต
3. เดอะเบสท์ซีอีโอรุ่นกลาง ได้แก่ คุณสาระ ลํ่าซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
รางวัล “สุดยอดซีอีโอรุ่นเอสเอ็มอี” 5 รางวัล ใน 4 สาขาธุรกิจ ได้แก่
1. คุณสุเมธชัย อินทกรณ์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โอคุริ เฮ้าส์ สาขาธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง
2. คุณวีรวุฒิ บำรุงไทย กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลิ่มเชียงเส็ง สาขาธุรกิจอุตสาหกรรมและการผลิต
3. คุณสุนัฏฐา สุขไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีซี เอสเตท จำกัด สาขาธุรกิจภาคบริการ
4. ดร.ชาติประชา สอนกลิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค็งโคโซได อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด สาขาธุรกิจการเกษตร
5. เดอะเบสท์ซีอีโอรุ่นเอสเอ็มอี ได้แก่ คุณสุนัฏฐา สุขไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีซี เอสเตท จำกัด
รางวัล “สุดยอดซีอีโอรัฐวิสาหกิจ” 3 รางวัล ใน 3 สาขาธุรกิจ ได้แก่
1. ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สาขา Environment
2. คุณฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขา Social
3. ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สาขา Governance
ส่วน รางวัล “สุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน” 1 รางวัล ได้แก่ คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน)