กรุงเทพฯ : 14 พฤศจิกายน 2568 จากสถานการณ์ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้น คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดกิจกรรม วันเบาหวานโลก ประจำปี 2568 “ฟิตร่างกาย ฟิตชีวิต พิชิตเบาหวาน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันตรวจสุขภาพโรคเบาหวานประจำปี เพื่อตรวจเช็กร่างกายของตนเองอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นคุณค่าของการป้องกันโรคเบาหวาน และหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง เพราะ “การป้องกันที่ดีที่สุด คือการเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้” โดยมี รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยทีม แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิก นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักกำหนดอาหารวิชาชีพเข้าร่วมในงาน ณ ชั้น 1 อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ

รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า “คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยให้บริการดูแลรักษาโรคเบาหวานอย่างครบวงจร เล็งเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) ร่วมรณรงค์ส่งเสริมดูแลสุขภาพแก่ประชาชน ภายใต้แนวคิด “ฟิตร่างกาย ฟิตชีวิต พิชิตเบาหวาน” (Fit Body, Fit Life, Fight Diabetes) เพื่อให้บริการวิชาการด้านสุขภาพและร่วมดูแลรักษาสุขภาพในเชิงป้องกันโดยมุ่งหวังให้ประชาชนรู้ระดับความเสี่ยง หมั่นตรวจร่างกาย และลดพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากโรค อีกทั้งยังสร้างความตระหนักรู้เรื่องการดูแลรักษาที่เหมาะสม ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อสนับสนุนให้ระบบสุขภาพของประเทศมีความเข้มแข็ง ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม ตามพระปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และองค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์”
ภายในงานจัดเสวนาให้ความรู้หัวข้อ “วัยทำงาน หวานพอดี” โดย แพทย์หญิงพรทิพย์ ธีระวิทย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิก เปิดเผยว่า “โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมเรื้อรังที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายขาดการสร้างอินซูลินหรือดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งถ้าไม่ได้รักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะมีภาวะแทรกซ้อนต่อหัวใจ หลอดเลือด ตา ไต และเส้นประสาทได้ ปัจจัยที่ทำให้วัยทำงานเสี่ยงการเป็นเบาหวานมากขึ้น ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน, ขาดการออกกำลังกาย งานนั่งนาน, อายุที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมเสี่ยงในที่ทำงาน เช่น ความเครียดจากงานสูง หรืองานกะกลางคืน ที่รบกวนการนอนและการทาน สำหรับปัจจัยที่ทำให้โรคเบาหวานแย่ลง คือ ผู้ป่วยบางรายอาจมีพฤติกรรมการรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินไม่สม่ำเสมอ ขาดยา, กินอาหารไม่สม่ำเสมอ หรือติดอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งสูง ไม่ออกกำลังกาย ความเครียดจากงานและปัญหาด้านสุขภาพจิต การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งการปฏิบัติตัวของเบาหวานในวัยทำงานนั้นควรทานเป็นเวลา เลือกอาหารและของว่างที่เหมาะสม ออกกำลังกาย ทานยาและตรวจน้ำตาลตามที่แพทย์แนะนำ อย่าเปลี่ยนยาหรือหยุดเอง นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังได้แก่ เบาหวานขึ้นตา ไตเสื่อม การชา ความเสียหายของเส้นประสาท นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ไตวาย และแผลเรื้อรังที่เท้า หัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดส่วนปลาย ภาวะน้ำตาลสูงมาก และภาวะน้ำตาลต่ำ มีการติดตามป้องกัน ควบคุมระดับน้ำตาล ดูแลเท้า ตรวจตา ตรวจไตเป็นประจำ”

ส่วนการเลือกอาหารในที่ทำงานนั้น แพทย์หญิงสิรี วงศ์รักมิตร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โภชนศาสตร์คลินิก กล่าวว่า “ในวัยทำงานมักมีเวลาจำกัดและต้องทานตามที่สะดวก แต่สิ่งที่เลือกทานแต่ละวันมีผลต่อระดับน้ำตาล พลังงาน และสมาธิในการทำงาน การเลือกอาหารที่ “เหมาะกับการทำงานและสุขภาพ” สามารถทำได้ไม่ยาก ด้วยการเริ่มต้นวันด้วยมื้อเช้าที่สมดุลงานวิจัยพบว่าผู้ที่ทานอาหารเช้าสม่ำเสมอมีการควบคุมน้ำตาลดีกว่า ซึ่งมื้อเช้าควรมีโปรตีน เช่น ไข่ โยเกิร์ต หรือ นม ร่วมกับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีต เพื่อช่วยให้อิ่มนาน ลดความหิวระหว่างวัน เลือกอาหารกลางวันโดยใช้หลัก Healthy Plate คือผัก ½ จาน โปรตีนไขมันต่ำ และ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างละ ¼ จาน ส่วนของว่างยามบ่ายให้กินเบรกที่มีโปรตีนและใยอาหาร เช่น โยเกิร์ตไม่หวาน ถั่วอบ หรือผลไม้รสไม่หวาน อย่างฝรั่ง แอปเปิล ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มกาแฟดำหรือชาร้อนโดยไม่เติมน้ำตาล หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำผลไม้ เพราะมีน้ำตาลสูง การจัดรูปแบบการกินให้เหมาะกับตารางชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ แนวทางอย่าง Intermittent Fasting (IF) และ Low-Carb Diet เป็นที่นิยมมากขึ้น และมีหลักฐานวิจัยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เช่น ใน JAMA Network Open 2023 และ Diabetes Care 2024 พบว่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ย (HbA1c) และน้ำหนักได้ หากทำอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง แต่ไม่เหมาะกับผู้ใช้ยาลดน้ำตาลที่เสี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ เช่น ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย หรืออินซูลิน เพราะการเว้นมื้ออาจทำให้ระดับน้ำตาลตก ควรปรึกษาแพทย์ หากรู้สึกเวียนศีรษะ ใจสั่น หรือเหงื่อออกเย็น ให้หยุดและวัดระดับน้ำตาลทันที ส่วน Low-Carb Diet เป็นแนวทางที่ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต โดยยังคงทานครบหมู่ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี โดยเฉพาะในคนวัยทำงานที่มักเคลื่อนไหวน้อย แต่ไม่จำเป็นต้อง “งดแป้งทั้งหมด” เพราะร่างกายยังต้องการคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อยวันละ 130 กรัม เพื่อให้สมองและสมาธิทำงานได้ดี ควรเน้นคาร์บที่มี “Low GI + High Fiber” มากกว่า “No Carb” GI (Glycaemic Index) หรือดัชนีน้ำตาล อาหารที่มีค่า GI ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว มันเทศ หรือผลไม้รสไม่หวาน จะช่วยให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นช้าและคงที่ High Fiber คือ อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด ช่วยให้อิ่มนาน และลดการดูดซึมน้ำตาล สำหรับข้อแนะนำเปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือ ข้าวผสมธัญพืช เพิ่มผักในทุกมื้อ ลดขนมอบ น้ำหวาน หรือ ชากาแฟเย็นที่ใส่น้ำตาล หากต้องทานข้าวนอกบ้าน ให้ขอ “ข้าวครึ่งจาน” หรือ “ไม่ราดซอส”

แพทย์หญิงไพรินทร์ เลาหสินณรงค์ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู กล่าวเสริมว่า “การออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ของร่างกายต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการควบคุมการรับประทานอาหาร และการรับประทานยาตามแผนการรักษา จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และระดับน้ำตาลสะสมได้ ส่งผลให้สามารถลดปริมาณการใช้ยารักษาโรคเบาหวาน และช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานในระยะยาว ส่วนรูปแบบการออกกำลังในที่ทำงานสามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างการทำงานสำหรับการเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกายเบา ๆ ได้แก่ การเดินสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรง เช่น การลุกนั่งจากเก้าอี้ หรือการยืนเขย่ง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพ และทำให้สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ข้อควรระวังในการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน และควรเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติระหว่างการออกกำลังกาย เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด แน่นหน้าอก ใจสั่น หรือเหนื่อยผิดปกติ หากพบอาการดังกล่าวควรหยุดการออกกำลังกายทันทีและปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจ แผลที่เท้า หรือเบาหวานขึ้นตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเริ่มออกกำลังกาย”

สำหรับ แพทย์หญิงจิดาภา สาริกิจ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา เผยว่าโรคเบาหวานมีผลต่อดวงตา “ทำให้เส้นเลือดและเลือดรวมถึงออกซิเจนไปเลี้ยงตาไม่ดี หรือโดยเฉพาะจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาขาดเลือด เส้นเลือดเกิดการโป่งพอง มีเลือดออก หรือมีการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ เส้นเลือดนั้น ๆ จึงแตกง่าย กลายเป็นเลือดออกในวุ้นตา เกิดพังผืดที่จอประสาทตา และดึงรั้งให้จอประสาทตาหลุดลอก หากการขาดเลือดยังดำเนินต่อไป จะเกิดต้อหินตามมา ไปจนถึงสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ นอกจากนั้นการที่เส้นเลือดไม่ดี จะทำให้กักเก็บน้ำไว้ไม่ได้ จึงทำให้มีน้ำรั่วออกมาที่จุดรับภาพชัด เรียกว่าภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ ซึ่งก็จะทำให้การมองเห็นลดลงเช่นกัน เบาหวานในวัยทำงานควรตรวจตาตามการวินิจฉัยของแพทย์ คือ เบาหวานชนิดที่ 1 เริ่มตรวจหลังจากวินิจฉัย 5 ปี เบาหวานชนิดที่ 2 เริ่มตรวจได้ทันที ถ้าไม่มีเบาหวานขึ้นตา ก็ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งค่ะ หากมีเบาหวานขึ้นตาแล้ว แพทย์จะนัดตรวจเร็วกว่านั้น ขึ้นกับระดับของเบาหวานขึ้นตา ผู้ป่วยสามารถชะลอภาวะเบาหวานขึ้นตาได้โดยควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี น้ำตาลสะสมน้อยกว่า 7% ควบคุมความดันโลหิต และระดับไขมัน”

ปิดท้ายที่ แพทย์หญิงทิพมาศ เตชวิวรรธน์ แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ เผยถึงผู้ป่วยเบาหวานในวัยทำงาน ส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเครียด ความวิตกกังวลว่า “เบาหวานเป็นโรคที่ต้องดูแลระยะยาว ต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ทานยาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกดดัน เหนื่อย และเครียดได้ง่าย วัยทำงานมักมีภาระหลายอย่าง ทั้งงาน ครอบครัว การเงิน เมื่อเจอโรคเรื้อรังเข้ามาอีก ความเครียดและความวิตกกังวลจึงเพิ่มขึ้นมีงานวิจัยชี้ว่าผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลมากกว่าคนทั่วไป 2–3 เท่า และสุขภาพจิตที่ไม่ดีทำให้ควบคุมน้ำตาลได้ยากขึ้น เป็นวงจรที่ส่งผลซึ่งกันและกัน ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลสุขภาพจิตตัวเองด้วยพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมน้ำตาลและลดความเครียดได้ แบ่งเบาความกังวลด้วยการพูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานด้วยกัน ไม่โทษตนเองหากน้ำตาลยังเกิน แต่ให้มองว่าเป็นการเรียนรู้และค่อยๆ ปรับ หากิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกดี เช่น ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ หากรู้สึกเศร้า เบื่อสิ่งที่เคยชอบต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ นอนไม่หลับหรือหลับมากผิดปกติ วิตกกังวลจนกระทบการทำงาน เบื่ออาหาร น้ำหนักเปลี่ยนไปมาก หรือมีความคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ หากมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้รีบมาพบจิตแพทย์ เพราะการดูแลสุขภาพจิตจะช่วยให้ควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น”

นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมสาธิตการออกกำลังกาย “ขยับร่างกายวันละนิด พิชิตเบาหวาน” ต่อด้วยกิจกรรมสาธิตการทำอาหาร “กินอร่อย ปลอดเบาหวาน” ปิดท้ายด้วยกิจกรรมพยาบาล ให้ความรู้เรื่อง “การแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ” พร้อมเชิญชวนเข้าร่วมกลุ่ม Self Help Group ภายในงานยังมีบูทกิจกรรม อาทิ บูทเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจวัดระดับน้ำตาล บูทแนะนำภาวะโภชนาการในผู้ป่วยเบาหวาน โดยทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ บูทแนะนำการดูแลสุขภาพเท้า รองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู บูทวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกายและแนะนำการออกกำลังกาย โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬา บูทแนะนำพร้อมบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน บูทนวัตกรรม การติดเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง (CGM) ในผู้ป่วยเบาหวาน บูทบริการตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy Screening) และ บูทรับบริจาคดวงตาและอวัยวะ โดยศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะและเนื้อเยื่อ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเบาหวานสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก ชั้น 1 โถงลิฟต์ B อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โทร 1118 ต่อ 5348-5349 หรือนัดหมายช่องทางออนไลน์ แอดไลน์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (LINE Official @chulabhornhospital) เลือกเมนูศูนย์การรักษา เลือกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก เลือก LINE ติดต่อนัดหมาย และสำหรับผู้รับบริการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่มีประวัติการรักษา หรือ HN เพื่อความสะดวกและไม่พลาดทุกการแจ้งเตือน สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CHULABHORN HEALTH PLUS ได้ทาง App store และ Google Play store ได้แล้ววันนี้
